post

SEO มีความสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization โดยพื้นฐานแล้วเป็นแนวทางปฏิบัติในการปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหา โดยเฉพาะ Google ยิ่งคุณอยู่ในอันดับสูง ผู้คนก็จะมีโอกาสพบเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นเมื่อพวกเขาค้นหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณหรือข้อมูลที่คุณให้ไว้

การมี SEO ที่ดีมีประโยชน์หลักบางประการ

การเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น: นี่คือประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุด ยิ่งไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหามากเท่าใด ผู้คนก็จะค้นพบไซต์นั้นมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งอาจนำไปสู่ลูกค้า โอกาสในการขาย หรือการรับรู้ถึงแบรนด์มากขึ้น ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของคุณ

ชื่อเสียงของแบรนด์ที่ได้รับการปรับปรุง: เมื่อไซต์ของคุณอยู่ในอันดับสูงสำหรับการค้นหาที่เกี่ยวข้อง จะแสดงว่าเครื่องมือค้นหาถือว่าเนื้อหาของคุณมีคุณค่าและน่าเชื่อถือ สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การรับรู้เชิงบวกต่อแบรนด์ของคุณ

การตลาดที่คุ้มค่า: SEO เป็นกระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่ แต่โดยทั่วไปจะมีราคาถูกกว่าการโฆษณาแบบเสียเงิน เมื่อคุณได้เพิ่มประสิทธิภาพไซต์ของคุณแล้ว คุณจะได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน

กล่าวโดยสรุป SEO เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการดึงดูดผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น และปรับปรุงการนำเสนอตัวตนบนโลกออนไลน์ของคุณ

post

ความเป็นมาของ seo

ต้นกำเนิดของ SEO นั้นยังไม่ชัดเจนนัก แต่เชื่อกันว่าเริ่มต้นขึ้นในยุคแรก ๆ ของอินเทอร์เน็ต เมื่อมีการสร้างเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าของเว็บไซต์จึงต้องหาวิธีทำให้เว็บไซต์ของตนปรากฏแก่ผู้เยี่ยมชม

หนึ่งในวิธีแรกสุดของ SEO คือการใช้คำหลักในทางที่ผิด สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการทำซ้ำคำหลักทั่วทั้งเนื้อหาของเว็บไซต์เพื่อพยายามเล่นเกมอัลกอริธึมของเครื่องมือค้นหา อย่างไรก็ตาม เสิร์ชเอ็นจิ้นยึดแนวทางนี้อย่างรวดเร็วและเริ่มลงโทษเว็บไซต์ที่ใช้การใช้คำหลักในทางที่ผิด

ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 มีแนวทางการทำ SEO ที่ซับซ้อนมากขึ้น แนวทางนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่เกี่ยวข้องกับคำหลักเป้าหมาย เนื้อหานี้ได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับเครื่องมือค้นหาโดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การวิจัยคำหลัก การเพิ่มประสิทธิภาพแท็กชื่อ และการเพิ่มประสิทธิภาพคำอธิบายเมตา

ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 Google ได้เปิดตัวอัลกอริธึม PageRank ซึ่งปฏิวัติ SEO PageRank เป็นวิธีการวัดความสำคัญของเว็บไซต์โดยพิจารณาจากจำนวนและคุณภาพของลิงก์ที่ชี้ไป สิ่งนี้นำไปสู่การมุ่งเน้นไปที่การสร้างลิงก์ซึ่งเป็นวิธีปรับปรุงอันดับของเว็บไซต์ใน SERP

ปัจจุบัน SEO เป็นสาขาที่ซับซ้อนและมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา มีปัจจัยหลายประการที่อาจส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ใน SERP และสิ่งสำคัญคือต้องติดตามแนวโน้มล่าสุดอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม หลักการพื้นฐานของ SEO ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือ สร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดเป้าหมายของคุณ และเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณสำหรับเครื่องมือค้นหา

นี่คือเหตุการณ์สำคัญบางส่วนที่ช่วยกำหนดประวัติศาสตร์ของ SEO

1997: คำว่า “การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา” ถูกใช้ครั้งแรกในเอกสารทางการตลาดโดย Webstep Marketing Agency

1998: Danny Sullivan ผู้ก่อตั้ง Search Engine Watch เริ่มเผยแพร่คำว่า SEO และช่วยให้ลูกค้าเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาของตนเพื่อให้มีอันดับที่ดีในผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา

2001: Google เปิดตัวอัลกอริธึม PageRank ซึ่งปฏิวัติ SEO

2004: การประชุม SEO ครั้งแรกจัดขึ้นที่ซานฟรานซิสโก

2005: เปิดตัวบล็อก SEO แรก

2006: Google เปิดตัวอัลกอริทึม Penguin ซึ่งลงโทษเว็บไซต์ที่ใช้เทคนิค SEO หมวกดำ

2007: Google เปิดตัวอัลกอริทึม Panda ซึ่งลงโทษเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคุณภาพต่ำ

2011: Google เปิดตัวอัลกอริธึม Hummingbird ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจความหมายของข้อความค้นหา

2015: Google เปิดตัวอัลกอริทึม RankBrain ซึ่งใช้การเรียนรู้ของเครื่องเพื่อจัดอันดับเว็บไซต์

2018: Google เปิดตัวอัลกอริทึม BERT ซึ่งปรับปรุงความเข้าใจในการสืบค้นด้วยภาษาธรรมชาติ

ประวัติความเป็นมาของ SEO นั้นยาวนานและซับซ้อน แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่า SEO ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของการตลาดออนไลน์ ด้วยการทำความเข้าใจประวัติความเป็นมาของ SEO คุณจะเข้าใจสถานะปัจจุบันของสาขานี้ได้ดีขึ้นและวิธีใช้ SEO เพื่อปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ของคุณใน SERP

post

เทคนิคที่ทำให้ seo ของคุณติดอันดับ

มีเทคนิคมากมายที่สามารถใช้เพื่อปรับปรุงอันดับ SEO ของเว็บไซต์ของคุณ เทคนิคที่สำคัญที่สุดบางประการ ได้แก่ :

1.สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง นี่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการทำ SEO เนื้อหาของคุณควรให้ข้อมูล เขียนได้ดี และเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ

2.เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณสำหรับคำหลัก เมื่อผู้คนค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ คุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหา คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์สำหรับคำหลักได้โดยใช้คำหลักในเนื้อหา ชื่อเรื่อง และคำอธิบายเมตาของคุณ

3.รับลิงก์ย้อนกลับ ลิงก์ย้อนกลับคือลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ เป็นสัญญาณสำคัญสำหรับเครื่องมือค้นหาว่าเว็บไซต์ของคุณเชื่อถือได้และเชื่อถือได้ คุณสามารถรับลิงก์ย้อนกลับได้จากการเขียนบล็อกของผู้เยี่ยมชม การเข้าร่วมในฟอรัม และส่งเว็บไซต์ของคุณไปยังไดเร็กทอรี

4.ปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์ของคุณ เครื่องมือค้นหาชอบเว็บไซต์ที่โหลดเร็ว คุณสามารถปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์ได้โดยการเพิ่มประสิทธิภาพรูปภาพ ย่อโค้ดให้เล็กลง และใช้เครือข่ายการส่งเนื้อหา (CDN)

5.ทำให้เว็บไซต์ของคุณเหมาะกับมือถือ ผู้คนจำนวนมากขึ้นใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเพื่อค้นหาเว็บ คุณต้องแน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรกับมือถือ เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่ายจากอุปกรณ์มือถือของตน

นอกจากเทคนิคเหล่านี้แล้ว ยังมีสิ่งอื่นๆ อีกมากมายที่คุณสามารถทำได้เพื่อปรับปรุงอันดับ SEO ของเว็บไซต์ของคุณ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ หากคุณทำเช่นนั้น คุณก็จะประสบความสำเร็จในการปรับปรุงอันดับ SEO ของเว็บไซต์ของคุณ

เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับการปรับปรุงอันดับ SEO ของคุณ

-ใช้คำหลักหางยาว คำหลักหางยาวมีความเฉพาะเจาะจงมากกว่าคำหลักหางสั้น และมีการแข่งขันน้อยกว่า ซึ่งหมายความว่าง่ายต่อการจัดอันดับสำหรับคำหลักหางยาว

-อัปเดตเนื้อหาของคุณเป็นประจำ Google ให้รางวัลแก่เว็บไซต์ที่อัปเดตเนื้อหาเป็นประจำ นี่แสดงว่าเว็บไซต์ของคุณมีการใช้งานและเป็นปัจจุบัน

-ใช้โซเชียลมีเดีย โซเชียลมีเดียสามารถเป็นวิธีที่ดีในการโปรโมตเว็บไซต์ของคุณและกระตุ้นการเข้าชม อย่าลืมแบ่งปันเนื้อหาของคุณบนโซเชียลมีเดียและกระตุ้นให้ผู้ติดตามของคุณแบ่งปันเช่นกัน

-ติดตามความคืบหน้าของคุณ สิ่งสำคัญคือต้องติดตามความคืบหน้าของคุณ เพื่อที่คุณจะได้เห็นว่าสิ่งใดใช้การได้และสิ่งใดไม่ได้ผล มีเครื่องมือ SEO มากมายที่สามารถช่วยคุณติดตามความคืบหน้าได้

SEO เป็นฟิลด์ที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ด้วยการปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้ คุณสามารถปรับปรุงอันดับ SEO ของเว็บไซต์ของคุณและเข้าถึงผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าได้มากขึ้น

post

SEO ยังเป็นที่นิยมในปัจจุบันหรือไม่ นับแต่กระแส Video Marketing มาแรง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าชาวโซเซียลมีเดีย นิยมเสพคอนเทนต์วิดีโอมากกว่าโพสต์ข้อความยาว ๆ เนื่องจากเข้าใจง่าย ใช้เวลาไม่นานก็เลื่อนไปดูวิดีโออื่น ๆ ทำให้แพลตฟอร์ม TikTok กระแสมาแรงแซง social media รุ่นพี่อย่าง Facebook, Youtube เลยไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมโซเซียลมีเดียที่อยู่มาก่อนหน้า หันมาใช้กลยุทธ์ให้ผู้ใช้งานรับชมวิดีโอสั้นเหมือน Tiktok มากยิ่งขึ้น แต่ดูเหมือนว่า Digital Marketing อย่าง SEO มีบทบาทน้อยลงทุกวัน ซึ่งมาดูกันดีกว่าว่า SEO ยังน่าใช้อยู่หรือไม่ หากเริ่มต้นทำเว็บไซต์

SEO เบสิกเริ่มต้นก่อนทำการตลาดออนไลน์

Video Marketing เป็นที่นิยม และแมสได้จริง แต่การตลาดรูปแบบนี้จะได้ประโยชน์เต็มที่ เมื่ออัปโหลดลง Social Media เพราะแพลตฟอร์มมีระบบแนะนำวิดีโอสั้นมาให้แก่ผู้รับชม ทำให้วิดีโอที่สร้างขึ้นมีโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ในขณะที่การทำเว็บไซต์ AI ของ Google ไม่ได้นำวิดีโอสั้น มาใช้จัดอันดับว่า เว็บใดควรขึ้นหน้าแรกของการค้นหา เนื่องจาก Google ยังคงใช้การค้นหาจากคีย์เวิร์ด “ข้อความ” เป็นหลัก ต่อให้ใส่วิดีโอสั้นลงมาในเว็บ AI ก็ตรวจจับไม่ได้ว่าเว็บนั้นดีจริงหรือไม่ ดังนั้น SEO ยังคงมีประโยชน์อยู่สำหรับการตลาดบนหน้าเว็บไซต์ แม้ Video Marketing จะมาแรงก็ตาม

External Link กับ แพลตฟอร์ม Social Media

หลายเว็บไซต์ได้นำเทคนิค SEO ที่เรียกว่า External Link มาช่วยบูสต์คะแนนการจัดอันดับ กล่าวคือ เจ้าของเว็บไซต์เปิดเพจบนโซเซียลมีเดียด้วย ซึ่งบนหน้าเพจก็สร้างวิดีโอสั้นที่น่าสนใจ หรือจ้าง
อินฟลูเอนเซอร์มาเรียกยอดวิวบนวิดีโอ และใส่เว็บไซต์นั้นเป็น Ref บนโพสต์วิดีโอสั้น ทำให้เมื่อเว็บนั้นถูก Reference บ่อยๆ AI จะประมวลผลว่าเป็นเว็บที่มีคุณภาพ ประกอบกับหากมีผู้เข้าชมเว็บจากโพสต์วิดีโอสั้นจำนวนมาก ย่อมเกิดยอด Traffic ตามมา ทำให้เว็บไซต์นั้นติดหน้าแรกของ Google ได้ง่ายขึ้น 

Internal Link ช่วยเพิ่ม Traffic ได้

เทคนิคนี้จะใช้ได้ดีกับผู้ที่มี 2 เว็บไซต์ขึ้นไป นั่นคือ เว็บไซต์หนึ่งสร้างไว้เพื่อขายของอย่างเดียว ในขณะที่อีกเว็บมีไว้สำหรับทำการตลาดให้เว็บแรกติดอันดับ ซึ่งเว็บไซต์ที่ 2 จะมีเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์แรก ด้วยการใส่เว็บไซต์แรกที่ต้องการบูสต์ยอด Traffic เป็น Reference (External Link) และใส่ Internal Link เพื่อจูงใจให้ผู้อ่านกดคลิกเข้าไปซื้อสินค้าในเว็บแรก ด้วยประโยคที่ผู้อ่านล้วนเคยผ่านตามาบ้างแล้ว (CTA) เช่น “อ่านต่อคลิกได้ที่นี่” “รายละเอียดเพิ่มเติมมีดังนี้” + (Internal Link) เป็นต้น และการนำทั้ง External link + Internal Link มาใส่เข้าด้วยกัน ย่อมเพิ่มน้ำหนักให้แก่เว็บไซต์ที่ต้องการบูสต์ยอด Traffic เป็นอย่างดี 

แม้ SEO จะเป็นเทคนิคที่ใช้ระยะเวลาในการทำพอสมควร จนกว่าหน้าเว็บของคุณจะติดอันดับของ Google และมีเทคนิคการตลาดสมัยใหม่อย่าง Video Marketing เข้ามา จนดูเหมือนว่าบทบาทของ SEO ลดลงไป แต่หากนำเทคนิค SEO และ Video Marketing ประยุกต์ใช้เข้าด้วยกันแล้ว หน้าเว็บของคุณจะได้ผลดีทั้งโซเซียลมีเดีย และการค้นหาบน Google 

post

5 เคล็ดลับ ในการเลือกคีย์เวิร์ด SEO ให้มีประสิทธิภาพ

การทำการตลาดออนไลน์ที่ดีต้องมีการคำนึงถึงความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าเป็นหลัก โดยหนึ่งในการตลาดที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันคือการทำ SEO โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มอันดับการค้นหาบนโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะนำไปสู่การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กำลังนั่งเสิร์จหาข้อมูลสินค้าอยู่ที่บ้าน และยังทำให้เว็บไซต์ธุรกิจติดอยู่บนลำดับต้น ๆ ของผลการค้นหาใน Google อีกด้วย สิ่งนี้เป็นกลยุทธ์ที่อาจจะตัดสินว่า SEO จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวคือการเลือกใช้คีย์เวิร์ด ดังนั้นวันนี้เราจะนำเคล็ดลับในการเลือกคีย์เวิร์ดที่ทำให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมาแนะนำให้ผู้อ่านได้ศึกษากัน

  1. เลือกคีย์เวิร์ดที่สอดคล้องกับธุรกิจ

โดยต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับธุรกิจที่ต้องการนำเสนอ และควรเป็นคำที่มีมีการค้นหาบ่อย ๆ หรือเรียกว่ามี Search Volume ปริมาณมาก ไม่ใช่เลือกใช้คำที่ไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจ 

  1. ใส่คำบรรยายสินค้าและบริการที่ต้องการนำเสนอ

ใส่คำที่แสดงถึงการให้บริการที่มีความเจาะจง โดยเชื่อมโยงกับความต้องการของลูกค้าที่เฉพาะเจาะจงขึ้น เช่น ธุรกิจคือร้านอาหารที่มีลานจอดรถ แทนที่จะใช้คีย์เวิร์ดว่า “ร้านอาหาร” อย่างเดียว การเลือกใช้คีย์เวิร์ดว่า “ร้านอาหาร มีที่จอดรถ” จะสามารถทำให้ลดจำนวนคู่แข่งและตรงตามความต้องการของลูกค้าที่กำลังค้นหาข้อมูลมากกว่าการใช้คำแบบธรรมดาทั่วไป 

  1. คีร์เวิร์ดที่ลูกค้าจะค้นหาเพื่อหาข้อมูลก่อนซื้อสินค้าและบริการ

สิ่งนี้เป็นอีกเทคนิคที่น่าสนใจ โดยต้องคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าที่จะค้นหาบนอินเตอร์เน็ตด้วยคำถามหรือข้อสงสัย ที่จะถูกใช้เพื่อหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ สามารถยกตัวอย่างได้ดังนี้ หากลูกค้าต้องการหาซื้อรองเท้าปีนเขา สามารถเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เป็นคำถาม เช่น “รองเท้าปีนเขา ยี่ห้อ ไหนดี” วิธีการแบบนี้จะทำให้เว็บไซต์มีโอกาสไต่อันดับการค้นหาที่สูงขึ้นได้

  1. เพิ่มคำเจาะจงสถานที่เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายในท้องถิ่น

หลายครั้งผู้ที่มองหาสินค้าหรือบริการ จะตัดสินใจเลือกใช้สิ่งที่อยู่ในพื้นที่ที่ต้องการด้วยเช่นกัน ดังนั้นการเพิ่มคำค้นหาที่ระบุพิกัดหรือตำแหน่งของร้านค้าลงไปจะช่วยทำให้ดึงดูดกลุ่มลูกค้าในท้องถิ่นมากขึ้น และจะทำให้อันดับการค้นหาของกลุ่มเป้าหมายในท้องถิ่นสูงขึ้นอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจฟิตเนสที่มีสาขาอยู่ในเขตพญาไท สามารถเลือกใช้คีย์เวิร์ดว่า “ฟิตเนส พญาไท” ซึ่งคีย์เวิร์ดแบบนี้จะช่วยจำกัดกลุ่มลูกค้าที่แคบลงมาและตรงจุดกว่านั่นเอง 

  1. ใช้คีย์เวิร์ดอย่างมีประสิทธิภาพ

อีกหนึ่งจุดที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะถึงแม้จะเลือกใช้คีย์เวิร์ดได้ดีขนาดไหน แต่ถ้าไม่มีวิธีการนำเสนอข้อมูลที่เหมาะสมและถูกกล่าวถึงในเนื้อหาที่ดี จะไม่สามารถทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากตามที่ต้องการ ซึ่งจะถือได้ว่าการทำ SEO ไม่ประสบความสำเร็จนั่นเอง ดังนั้นการสร้างเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่เลือกใช้และต้องตอบคำถามในใจของผู้ค้นหา นับเป็นหัวใจสำคัญในการทำ SEO เช่นกัน นอกจากนั้นยังต้องมีการอัพเดทเนื้อหาให้มีความทันสมัยและมีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ

จะเห็นว่าหากอยากทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพและมียอดการค้นหาปัง ๆ การใส่ใจเลือกคีย์เวิร์ดที่ดี ควบคู่ไปกับการจัดแต่งเว็บไซต์เพื่อรองรับการค้นหาจากลูกค้าบนโลกออนไลน์จัดเป็นกุญแจไปสู่เป้าหมายในการทำการตลาดออนไลน์ด้วย SEO ดังนั้นการจะตัดสินใจเลือกใช้คีย์เวิร์ดคำไหนต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบและคิดวิเคราะห์อย่างรอบด้าน อาจจะต้องลองจินตนาการ มองภาพการค้นหาในมุมของลูกค้าและอย่าลืมนำเทคนิคต่าง ๆ ที่ได้ศึกษาในวันนี้ไปประยุกต์ใช้

post

บอกเหตุผลสุดปังทำไมต้องทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหา

ไม่ว่าจะเป็นการทำเว็บไซต์ผลิตภัณฑ์หรือบริการประเภทใด การติดอันดับเว็บไซต์ต้น ๆ ในหน้าการค้นหาถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องด้วยมีประโยชน์หลากหลายอย่าง หลาย ๆ คนลงทุนกับโฆษณาในการโปรโมทเว็บไซต์เพื่อให้เว็บไซต์ได้ติดอันดับการค้นหาด้วยงบประมาณที่สูง เนื่องจากต้องการให้เว็บไซต์เป็นในทิศทางที่ต้องการ ตามไปดูกันว่าทำไม SEO จึงมีความสำคัญอย่างมากต่อแบรนด์และธุรกิจของคุณ 

  • การติดอันดับการค้นหาในหน้าการค้นหาต้น ๆ จากวิธีการที่มีการกดค้นหามาจากเว็บไซต์การค้นหาช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้ารับชมเว็บไซต์มากขึ้น เนื่องด้วยผู้คนมักจะกดเข้าไปรับชมเว็บไซต์ที่ขึ้นมาในหน้าการค้นหาต้น ๆ ก่อนแทนที่จะกดลำดับหน้าถัดไป ทำให้เว็บไซต์ได้ผ่านตาแก่กลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นนั่นเอง
  • มากไปกว่านั้นการทำ SEO ยังช่วยในการเพิ่มยอดขายให้กับผลิตภัณฑ์และสินค้าที่วางจำหน่ายอยู่ในเว็บไซต์ของทางแบรนด์ นั่นก็เป็นเพราะว่าเมื่อมีการกดเข้ารับชมเว็บไซต์จากหน้าการค้นหาแล้ว ถ้าตัวเนื้อหาภายในเว็บไซต์มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้บริโภค โดยสามารถที่จะดึงดูดและตอบโจทย์ของผู้ที่เข้ามารับชมได้ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของสินค้าและบริการนั้น ๆ อยู่แล้วก็ทำให้เพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้น ทั้งนี้อย่างที่เราทราบกันดีว่าการทำ SEO จะมีการอัปเดตเนื้อหาข้อมูลภายในเว็บไซต์อยู่เสมอ รวมทั้งการใส่รูปภาพ วิดีโอที่มีความเกี่ยวข้อง สวยงามและน่าสนใจ เนื้อหาภายในเป็นเนื้อหาที่มีการเรียบเรียงและเขียนมาใหม่ซึ่งสอดคล้องกับคีย์เวิร์ดหรือคำสำคัญในการค้นหา จึงเป็นข้อดีอย่างมากเมื่อมีการกดเข้ามารับชมเว็บไซต์
  • ช่วยสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ข้อนี้ก็ถือเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ควรทำ SEO อย่างยิ่ง การที่แบรนด์เป็นที่รู้จักของผู้คนมากขึ้นก็เป็นเสมือนการขยายฐานลูกค้าอย่างหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นการทำการตลาดที่มีความคุ้มค่ามาก ๆ แม้ว่าในการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการในครั้งแรกนั้นทางผู้บริโภคอาจไม่ได้เลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากเว็บไซต์ของเราแต่เมื่อแบรนด์เป็นที่รู้จัก มีการพบเห็นอยู่บ่อยครั้งเมื่อกดค้นหาด้วยคำสำคัญในหน้าการค้นหา เมื่อจะมีการซื้อสินค้าหรือบริการในครั้งถัด ๆ ไป ก็จะเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการได้เช่นกัน 

ข้อมูลเกี่ยวกับ SEO ทั้งหมดข้างต้นถือเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญและเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำเว็บไซต์และเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ทุกคนคงทราบแล้วว่าทำไมการทำ SEO จึงมีความสำคัญ โดยถือเป็นจุดเริ่มต้นและวิธีการที่ดีมีประสิทธิภาพต่อเว็บไซต์ของคุณอย่างแท้จริง

post

ทำ SEO แล้วได้อะไร มือใหม่ต้องรู้

เมื่อจะเข้าสู่วงการขายสินค้าออนไลน์ คุณควรต้องเรียนรู้เรื่อง SEO หรือ search engine optimization เพื่อให้การทำธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ที่เราจะแนะนำดังนี้

1. ลดเวลาในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า

การเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายโดยเร็วเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณเป็นมือใหม่ในวงการออนไลน์ เมื่อเปิดเว็บไซต์ขึ้นมาแรก ๆ ก็ไม่มีใครรู้จัก หากไม่ทำตามหลักการ SEO ที่ Google แนะนำ คุณก็จะไม่สามารถสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ได้ในเวลาอันสั้น เพราะแทบจะไม่มีโอกาสเลยที่คนจะพิมพ์แล้วตรงกับสิ่งที่คุณใส่ในบทความของเว็บไซต์ตัวเอง ดังนั้นการทำ SEO จะทำให้เว็บไซต์คุณมีคนเข้ามาชมได้เร็วขึ้นในเวลาไม่กี่เดือน

2. ขายของได้มาก

เชื่อว่าคนที่ทำเว็บไซต์ทุกคนต้องการที่จะมีรายได้จากการทำเว็บไซต์ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เช่น ถ้าเป็นหน้าร้านขายสินค้าต่าง ๆ ก็ต้องการออเดอร์สินค้าทุกวัน ถ้าขายคอร์สสอนออนไลน์ ก็ต้องการให้คนรู้จักเข้ามาอ่านข้อมูลแล้วตัดสินใจสมัครเรียนไว ๆ ถ้าไม่มีลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์คุณเลยโอกาสในการขายสินค้าและบริการก็จะเท่ากับหายไปด้วย คุณจึงควรศึกษาการทำ SEO ตั้งแต่ต้นที่ทำเว็บไซต์ ทั้งจากคลิปวิดีโอสอนทำจากกูรูต่าง ๆ เพื่อจัดรูปแบบเว็บไซต์ทั้ง On-page และ Off -page SEO ให้เหมาะสม หรือจะจ้างบริษัทมืออาชีพในการทำ SEO ให้เว็บไซต์คุณก็ได้เช่นกัน

3. เข้าถึงลูกค้าต่างประเทศง่ายขึ้น

ถ้าคุณทำเว็บไซต์เป็นภาษาต่างประเทศเพื่อขายสินค้าให้ชาวต่างชาติ ก็มีโอกาสที่จะขายของได้มูลค่ามหาศาลตามไปด้วย ในอดีตหากคุณจะขายของให้คนต่างชาติก็ต้องนั่งเครื่องบินไปโปรโมต เสียเวลาและค่าใช้จ่ายมากมาย แต่หากทำเว็บไซต์ตามหลัก SEO คุณก็ไม่ต้องเสียเงินในส่วนนี้เลย และยังมีโอกาสขายได้ตลอดเวลาเพราะเป็นการขายทางอินเทอร์เน็ตด้วย เรียกได้ว่าเข้าถึงลูกค้าได้ในทุกมุมโลกเพียงแค่มีระบบอินเทอร์เน็ตเชื่อมโยงกัน

4. ได้รับความเชื่อถือ

ความเชื่อถือของคุณมาจากการที่ใครก็ตามค้นหาในเว็บไซต์ Google ซึ่งเป็นแหล่งค้นหาข้อมูลอันดับหนึ่งของโลกแล้วเจอเว็บไซต์คุณทันที จะดีแค่ไหนถ้าเว็บไซต์ของคุณถูกพิมพ์หาด้วย keyword SEO แล้วอยู่ในอันดับที่ 1 หรือ 2 ตลอดเวลา เพราะนั่นแปลว่าคุณมีโอกาสได้รับความเชื่อถือจากลูกค้าในการสั่งสินค้าและบริการมากกว่าคนอื่น ๆ 

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO ให้ประโยชน์แก่เว็บไซต์อย่างมากมาย คนที่เป็นมือใหม่ในวงการขายของออนไลน์จึงควรเริ่มต้นศึกษาไว้เสียแต่วันนี้ ไม่ว่าจะเรียนเพื่อทำเองหรือเพื่อให้เข้าใจระบบงานสำหรับการจ้างทำ SEO ก็ได้เช่นกัน แล้วคุณจะได้ผลกำไรที่ตอบกลับมาสู่ธุรกิจของคุณมากกว่าที่ลงทุนไปอย่างแน่นอน

post

SEO ทำแล้วได้อะไร 2022

SEO เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่กูรูจำนวนมากแนะนำให้ผู้ที่สนใจธุรกิจออนไลน์ศึกษาอย่างเป็นระบบเพื่อให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว เรามาดูกันว่าหากทำ SEO ให้เว็บไซต์หลักจะได้อะไรบ้าง

1. ประหยัดค่าจ้างทำ SEO 

การทำ SEO เป็นเรื่องที่เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง เพียงอาศัยความขยันในการศึกษา keyword ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ เขียน Content ที่มีคุณภาพ วิเคราะห์ให้ตรงตามหลัก SEO ทำซ้ำอย่างสม่ำเสมอเช่นนี้ ก็จะทำให้อันดับของเว็บไซต์ดีขึ้นได้ทุกวันโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจ้างใคร

2. ไม่ต้องเสียค่าโฆษณา

การโฆษณาต้องมีค่าใช้จ่ายให้แก่ Google โดยจะถูกตัดค่าใช้จ่ายแบบนับจำนวนการคลิก หรือที่เรียกว่า pay per click ซึ่งเงินค่าโฆษณาหมดงบประมาณที่ตั้งไว้เมื่อใดจากจำนวนการคลิกสะสมจนถึงระดับเพดาน ก็จะหยุดการโฆษณาเมื่อนั้น แต่การทำ SEO ไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ทุกเว็บไซต์ออนไลน์สามารถทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ตัวเองแล้วแข่งขันกันด้านคุณภาพเพื่อให้ได้อยู่ในอันดับต้น ๆ ได้ตลอดทั้งปี 

3. แข่งขันอย่างยุติธรรม

นักธุรกิจที่มีทุนน้อยอาจกังวลว่าจะสู้ยักษ์ใหญ่ในตลาดออนไลน์ได้อย่างไร ที่จริงแล้วไม่ต้องกังวลในส่วนนี้เลย เพราะการวิเคราะห์คุณภาพของเว็บไซต์ SEO นั้นเป็นไปโดยระบบ algorithm ของ Google ที่จะมาแวะเวียนเก็บข้อมูลในเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นระยะ หมดปัญหาอคติในการจัดอันดับเว็บไซต์ได้ ที่สำคัญ คือ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอยู่ในอันดับด้านบนได้หากทำ SEO สายขาวตามหลักการของ Google ได้อย่างถูกวิธี

4. ทำให้ได้ลูกค้าประจำ

ไม่ว่าจะขายสินค้าหรือบริการชนิดใด หากมีลูกค้าประจำแล้วย่อมหมายถึงการมีโอกาสขายต่อเนื่องและถูกบอกต่อได้มากยิ่งขึ้น การทำ SEO ได้แก่ การจัดหมวดหมู่ของเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย เช่น ถ้าขายสินค้าหลายประเภทก็ต้องแยกเป็นหมวดเสื้อ กางเกง กระโปรง รองเท้า กระเป๋า พร้อมให้สาระความรู้เกี่ยวกับการเลือกสินค้าที่ดีมีคุณภาพ อันแสดงถึงความจริงใจและความรู้ของผู้ผลิตเนื้อหา ทำเช่นนี้ย่อมมีโอกาสขายสินค้าแก่ลูกค้าประจำและขยายฐานการตลาดให้กว้างขึ้นได้

5. เข้าถึงลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติตลอดเวลา

การทำ SEO นั้นให้ประโยชน์ในการเข้าถึงลูกค้าทั่วโลก ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ มีโอกาสที่จะมีผู้คลิกเข้ามาชมข้อมูลในเว็บไซต์ของคุณได้ตลอด 24 ชั่วโมง หากศึกษาคีย์เวิร์ด SEO ที่เหมาะสม ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ก็ย่อมมีโอกาสเข้าถึงลูกค้าอย่างไม่จำกัด

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO นั้นให้ประโยชน์ทั้งด้านการพัฒนาเว็บไซต์จากระดับรากฐานให้แน่น สอดคล้องตามหลักการของ Google และยังสามารถขยายฐานลูกค้าให้กว้างยิ่งขึ้นได้ อันทำให้ธุรกิจมีความมั่นคงยิ่งขึ้น นักธุรกิจออนไลน์จึงควรเรียนรู้หลักการ SEO เพื่อการอยู่รอดของธุรกิจในทศวรรษหน้า

post

งงไหมจะใช้ SEO หรือ SEM?

เชื่อว่าผู้ประกอบการหลายท่านที่เป็นมือใหม่ในวงการตลาดออนไลน์ อาจมีความสงสัยว่า SEO กับ SEM คืออะไร แบบไหนจะดีกว่ากัน แล้วผู้ประกอบธุรกิจจะเลือกใช้อะไรดี จึงจะสามารถเพิ่มยอดขายให้ได้มากขึ้น วันนี้เรามาเรียนรู้ไปด้วยกันในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 

1. ความหมาย

SEO (search engine optimization) หมายถึงการทำการตลาดออนไลน์ผ่านระบบปฏิบัติการค้นหาเพื่อให้ถูกจัดอันดับให้อยู่บนหน้าแรก (ในที่นี้หมายถึง google) โดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาให้ google ส่วน SEM (search engine marketing) ถือว่าเป็นวิธีการทำให้คนรู้จักเว็บไซต์เหมือนกันกับ SEO แต่แตกต่างกันตรงที่ต้องจ่ายค่าโฆษณา ส่วนสิ่งที่เหมือนกันของการนำ SEO และ SEM มาใช้ในการทำการตลาดคือทั้งสองอย่างจำเป็นต้องมี keyword (คำที่ใช้ค้นหา)

2. การวางแผน-เตรียมการ 

การทำ SEO จะมีความยุ่งยากมากกว่า SEM เพราะจะต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ เรียกได้ว่าต้องเตรียมการตั้งแต่ก่อนลงมือทำเว็บไซต์เลยทีเดียว เพราะการทำ SEO ต้องมีการเขียนบทความโดยใช้ keyword ที่มีเนื้อหาเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันซึ่งอาจต้องใช้หลายบทความและแต่ละบทความต้องสามารถลิงก์หากันได้อย่างลงตัว

หากท่านจินตนาการไม่ออกก็ลองคิดถึงภาพยนตร์จักรวาลทั้งหลายนั่นแหละ ที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะเป็นหนังจักรวาลของมาเวล  ไม่ทราบว่าเคยดูกันบ้างหรือเปล่า ทั้งเรื่องแย่งกันดีดนิ้วเพื่อลดจำนวนประชากร ส่วนการทำ SEM ไม่จำเป็นต้องใช้บทความมากมาย บางเว็บไซต์ใช้แค่บทความเดียว ขอแค่เป็นบทความที่ใช้ keyword ที่สื่อถึงสินค้าหรือบริการก็พอ 

ส่วนการซื้อโฆษณาบน google หรือ SEM จะใช้ระบบที่เรียกว่า pay per click คือการซื้อโฆษณาในรูปแบบที่มีการเรียกเก็บเงินตามจำนวนคลิก คนใช้งานคลิกมากก็จ่ายมาก ผ่านรูปแบบการประมูล keyword คำไหนที่มีคนใช้เยอะก็ต้องจ่ายแพง  เพื่อดันโฆษณาเว็บไซต์ให้ไปปรากฏบนหน้าแรกของ google

3. ระยะเห็นผล

SEO ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานเพราะเป็นการทำการตลาดที่เรียกว่า organic ซึ่งเป็นศัพท์ทางการตลาดหมายถึงไม่ซื้อโฆษณานั่นเอง การทำ SEO ให้ได้ผลอาจต้องใช้เวลา 6 เดือนหรือมากกว่านั้น ส่วน SEM ใช้เวลาสั้นกว่ามาก หากต้องการความรวดเร็วคงต้องหันไปใช้ บริการ SEM 

4. ความยั่งยืน

SEO ทำครั้งเดียวจบสามารถอยู่บนหน้าหนึ่งของ google ได้ตลอดไปตราบเท่าที่ยังไม่มีคู่แข่ง ส่วนการทำ SEM เสียเปรียบตรงที่หากผู้ประกอบการรายใดต้องการอยู่บนหน้าหนึ่งต่อไปต้องจ่ายค่าโฆษณาเพิ่มหยุดจ่ายเมื่อไหร่ถูก google ดีดนิ้วหายไปจากหน้าหนึ่งทันที

หากจะให้ตัดสินว่า ระหว่าง SEO กับ SEM อันไหนดีกว่ากันคงตอบยาก เพราะสุดแล้วแต่ว่าผู้ประกอบการแต่ละรายจะวางกลยุทธ์ในการขายอย่างไร  ถ้าต้องการเห็นผลไวก็ต้องเลือก SEM แต่ถ้าต้องการประหยัดเน้นหวังผลระยะยาวก็ต้องเลือก SEO หรืออาจจะทำไปพร้อม ๆ กันก็ได้

post

5 เรื่องพื้นฐานควรรู้เกี่ยวกับ SEO

ทุกวันนี้ถ้าเราอยากจะรู้อะไรก็หาคำตอบได้ง่าย ๆ ด้วยการ Search พิมพ์ Keyword ที่เราต้องการค้นหา แค่นี้คำตอบก็ขึ้นมามากมาย ซึ่งเว็บไซต์ที่เราจะเลือกคลิกเข้าไปคืออันดับต้น ๆ ที่ปรากฏขึ้นมา นั่นแสดงว่ามีการทำ SEO มาดี แล้ว SEO คืออะไร เรามาหาคำตอบกัน

SEO (Search Engine Optimization) คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ในด้านต่าง ๆ ให้ Search Engine ชอบ เพื่อที่จะได้ขึ้นไปอยู่ด้านบนสุดหรือระดับสายตาของการค้นหาอย่างใน Google, Bing, Yahoo ด้วยวิธีธรรมชาติของระบบโดยไม่ต้องเสียเงินโฆษณาหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้เพิ่มโอกาสให้คนเห็นและคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์เราได้เยอะขึ้น เพิ่มโอกาสการขายได้เพิ่มมากขึ้น

การจะทำ SEO นั้นก็มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งเราสามารถทำได้ไม่ยากเกินไป แต่ต้องอาศัยการปรับปรุง พัฒนาสม่ำเสมอ และความพยายาม โดยมีหลักการพื้นฐาน 5 ข้อ ดังนี้

1.Keyword
Keyword ต้องตรงกับเนื้อหาของธุรกิจหรือเว็บไซต์ ไม่ใช่ว่ามีแต่ Keyword แต่ข้างในไม่เกี่ยวข้องกัน เราต้องคิดว่าเนื้อหานี้คนที่เข้ามาจะค้นหาด้วยคำว่าอะไรได้บ้าง เปรียบเสมือนเครื่องมือทางการตลาดอย่างหนึ่งที่เข้าถึงได้ง่าย รวดเร็ว แค่ต้องหยิบมาให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าเพื่อที่จะเป็นคลิกที่มีคุณภาพ

2.ปรับปรุงเว็บไซต์สม่ำเสมอ
ควรอัปเดทเนื้อหาให้ Search Engine ได้รับข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ทันสมัยตลอดเวลาและในเว็บไซต์หรือเนื้อหาควรมีภาพประกอบเพื่อเพิ่มความน่าสนใจ น่าติดตาม นอกจากนี้จะเพิ่มในส่วนของวิดีโอเข้าไปด้วยก็ยิ่งดี เพราะไม่ว่าจะภาพประกอบหรือวิดีโอก็สามารถขึ้นไปปรากฏเป็นผลลัพธ์การค้นหาของ Search Engine ได้อีกด้วย

3.ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
ต้องดูน่าเชื่อถือตั้งแต่รูปแบบ โครงสร้าง สีสัน เนื้อหา ภาพประกอบ วิดีโอ ทุกอย่างต้องมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอย่างมีคุณภาพ มีโอกาสมากที่คนจะนำ Link ของเว็บไซต์เราไปอ้างอิงถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งของการทำ SEO

4.ความเร็วของเนื้อหาที่ปรากฏ
ความเร็วของเว็บไซต์หรือที่เรียกว่า Page Speed ถ้าคลิกแล้วหน้าเว็ปแสดงผลให้เห็นเร็วมากเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะคนจะอยู่ได้นานเพื่ออ่าน ซึ่งมีผลกับ SEO อย่างมาก ถ้าคนคลิกเข้ามาแล้วโหลดหน้าเว็บนานจะออกจากเว็บไซต์เราทันทีและไปเลือกชมเว็บไซต์อื่นแทน

5.อ่านง่ายบนมือถือ
ปัจจุบันคนเราจับมือถือมากกว่าอยู่กับคอมพิวเตอร์กันแล้ว เราควรคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย เพราะยุคนี้สมัยนี้อะไรก็ต้องง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว การจัดรูปแบบ องค์ประกอบของหน้าเว็บไซต์ก็ควรดึงดูดความสนใจได้ตั้งแต่แรกเห็น มองได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยและหลักการอื่น ๆ อีกมากมายในการทำ SEO ที่ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ทุกเว็บไซต์ที่ทำจะได้ขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ หรืออยู่บนสุดในการค้นหา เนื่องจาก Search Engine ใช้ อัลกอริทึม (Algorithm) ในการจัดอันดับและให้คะแนนตามที่ได้กำหนดขึ้นมาในระบบ สิ่งสำคัญที่เราจะทำได้เอง ควบคุมได้เองไม่ต้องลุ้นกับระบบก็คือ การพัฒนา ปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์เราอยู่ตลอดเวลาด้วยความใส่ใจที่เรามีต่อลูกค้า