post

SEO สายดำ ทำแล้วดีจริงหรือ

การทำ SEO เป็นเทคนิคในการทำให้เว็บไซต์ของธุรกิจ ติดอันดับหน้าหนึ่งบน Search Engine ซึ่งเทคนิคที่นักการตลาดออนไลน์ส่วนใหญ่ใช้จะเป็นการหา Keyword ที่มีกลุ่มเป้าหมายค้นหาเยอะแล้วนำมาเขียนเป็นบทความ SEO ที่มีจำนวนคำตั้งแต่ 300 คำขึ้นไป และต้องเป็นบทความที่มีสาระหรือเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน โดยต้องโพสต์เป็นประจำวันละ 1 บทความเป็นอย่างน้อยติดต่อกันประมาณ 1 – 2 เดือน ซึ่งหากการแข่งขันใน Keyword ที่นำมาใช้ไม่สูงเกินไปก็อาจทำให้ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine ได้ไวขึ้น

แต่สำหรับการทำ SEO ใน Keyword ที่มีการแข่งขันสูง เช่น กลุ่มคำเกี่ยวกับปัญหาผิวหน้า ผิวกาย หรือสัตว์เลี้ยง เป็นต้น การทำ SEO สายขาวอย่างข้างต้นอาจต้องใช้เวลานานกว่าจะติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine หรือไม่แน่ว่าอาจจะไม่มีทางสู้ ทำให้นักการตลาดออนไลน์หลายคนหันไปพึ่งการทำ SEO สายดำ เพราะช่วยให้การติดอันดับหน้าแรกบน Search Engine ได้เร็ว แม้จะต้องทำหลายอย่างที่เป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดของ Search Engine

วิธีการทำ SEO สายดำ (ที่ไม่ควรทำ) มีดังนี้

การทำ Backlink มากเกินไปในระยะเวลาอันสั้นอาจทำให้ Search Engine เห็นว่ามีการทำ SEO ที่มากเกินไป ซึ่งในครั้งแรกที่ถูก Search Engine ตรวจจับได้ Search Engine จะส่งข้อความเตือนเพื่อให้หยุดการกระทำดังกล่าว ซึ่งหาก Search Engine พบว่ายังมีอยู่เว็บไซต์ก็จะตกอันดับลงและถูกมองว่าเป็นเว็บไซต์ไม่น่าเชื่อถือ

การแลกลิงก์กับเว็บไซต์ที่ไม่ใช่เว็บที่มีเนื้อหาหรือ keyword ที่เกี่ยวข้องกัน เนื่องจากในปัจจุบัน AI บน Search Engine มีความฉลาดมากขึ้น ทำให้ตรวจจับการแลกลิงก์ได้เร็วขึ้น และหากพบว่ามีการแลกลิงก์กับเว็บไซต์ที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง เว็บไซต์ของเราจะถูก Search Engine มองว่าเป็นเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือและเป็นอันตราย

ใส่ keyword ในบทความมากเกินไปเพราะหวังว่าจะขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ ของเว็บไซต์ที่ทำ keyword นั้น ๆ แต่ด้วยความฉลาดของ AI ทำให้การแทรก keyword ที่มากเกินความจำเป็นและการเขียนเนื้อหาที่ไม่สามารถอ่านรู้เรื่องได้ จะทำให้เว็บไซต์ไม่น่าเชื่อถือ

แม้จะเป็นบทความของตัวเอง แต่การนำบทความเดิมมารีโพสต์บนเว็บไซต์ใหม่อาจทำให้กลายเป็นการลอกเลียนผลงานได้ ซึ่งหากต้องการที่จะนำบทความเดิมมาใช้ใหม่ ควรเรียบเรียงบทความใหม่หรือที่เรียกว่าการ Rewrite เพื่อป้องกันการที่ Search Engine มองว่าเว็บไซต์ใหม่นั้นเป็นเว็บไซต์ลอกเลียนที่ไม่ได้คุณภาพ

การแทรกลิงก์ในคำสำคัญที่มากเกินไปเพื่อให้ผู้ใช้ Click ไปยังหน้าซื้อสินค้าหรือบริการ ทำให้เว็บไซต์ถูกมองว่าเป็นเว็บที่ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน

โดยสรุปแล้วการทำ SEO สายดำไม่ได้ดีอย่างที่คิด เพราะแทนที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ อาจกลายเป็นร่วงจากอันดับและถูกมองว่าเป็นเว็บไซต์อันตราย หรือไม่ได้คุณภาพในที่สุด

SEO สายดำ ทำแล้วดีจริงหรือ

post

จะเป็นนักเขียน SEO ต้องรู้อะไรบ้าง

การเป็นนักเขียน SEO เป็นอาชีพที่หลายคนใฝ่ฝันเพราะมีตลาดงานที่กว้าง สอดคล้องกับการทำ SEO หรือ search engine optimization ให้ธุรกิจยุคใหม่หลากหลายประเภท อันเป็นส่วนหนึ่งของเทคนิคการทำตลาดออนไลน์ที่นิยมมากในปัจจุบัน

งานนักเขียน SEO ต้องมีการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนไป แนวทางที่ Google กำหนดและเพิ่มเติมเรื่อย ๆ ในแต่ละปี เรามาดูกันว่าในปี 2020 นี้ การเป็นนักเขียน SEO ต้องทำอะไรบ้าง

นักเขียน SEO ต้องทำอะไรบ้าง

การกำหนดเนื้อหา บทความ SEO การใส่รายละเอียดในบทความ SEO จะต้องเข้ากับ keyword ที่สืบค้นหรือวิจัยมาแล้วว่าเหมาะสม ตรงกับการพิมพ์ในช่องสืบค้นหรือ google search ของลูกค้าเป้าหมาย และจะต้องเขียนโดยการวิเคราะห์ว่า ผู้อ่านต้องการที่จะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับอะไร เช่น หากคุณต้องการเขียนเรื่องมือถือรุ่นใหม่ที่ออกมา ก็ควรเข้าถึงมุมมองของผู้ที่กำลังมองหามือถือเครื่องใหม่ ว่าต้องการรู้ถึงรายละเอียดที่แตกต่างกับรุ่นเดิม ๆ ด้านใดบ้าง จึงจะทำให้บทความมีทางความน่าสนใจและตรงกับการค้นหาอย่างแท้จริง

การวางตำแหน่งของ keyword นอกจากผู้เขียนต้องใส่ keyword ในบทความแล้ว ยังต้องใส่อยู่ในองค์ประกอบด้านอื่น ๆ ให้ครบถ้วนด้วย เช่น

ส่วนของหัวเรื่องหรือ title เพื่อการดึงดูดใจให้คนอ่าน

ส่วนของ URL address ของบทความนั้น ๆ

ส่วนของ Meta Description หรือบทบรรยายสั้น ๆ ประมาณ 100 คำ ที่เป็นการแนะนำบทความกระตุ้นให้คนคลิกอ่านบทความฉบับเต็มในเว็บไซต์

ส่วนหัวข้อย่อยในบทความ เปรียบเหมือนสารบัญอย่างย่อ

การอธิบายรูปภาพประกอบบทความ ที่จะต้องใส่ keyword เดียวกับบทความด้วย โดยใส่ใน alt text จะทำให้ได้รับผู้ชมจากการค้นหารูปภาพที่ตรงประเด็นมากขึ้น

การศึกษาวิธีการทำทั้ง 5 จุดที่กล่าวมา จะทำให้เพิ่มโอกาสในการถูกสืบค้น และทำให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้นักเขียนได้รับการจ้างงานสม่ำเสมอยิ่งขึ้นนั่นเอง

ความเป็นธรรมชาติในเนื้อหาบทความ SEO แม้ว่าจะต้องมีการใส่ keyword ในจุดต่าง ๆ กระจายทั่วบทความ แต่ก็ไม่ควรที่จะซ้ำบ่อยเกินไป เทียบเป็นอัตราส่วน 2.5% หรือ 100 คำ จะมี keyword ไม่เกิน 3 ครั้งและต้องเลือกใช้ในประโยคอย่างเหมาะสม ไม่กระทบต่อการสื่อความหมายต่าง ๆ อันจะทำให้การสื่อสารผิดพลาดหรือรบกวนสายตาผู้อ่าน

ความสดใหม่ของบทความ เนื้อหาบทความ SEO ที่ดีต้องคิดและเขียนขึ้นใหม่ด้วยตัวเอง ไม่มีการคัดลอกจากแหล่งอื่น ๆ เพราะจะทำให้ระบบ algorithm ตรวจสอบได้ว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ จะทำให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์ที่นำบทความที่มีการคัดลอกไปใช้นั้น ถูกลดอันดับไปอยู่ด้านล่าง ๆ ได้

จะเห็นได้ว่า นักเขียน SEO จำเป็นต้องรู้หลักการในการทำอย่างเหมาะสม และพัฒนาตัวเองเสมอเพื่อให้ตอบโจทย์การทำธุรกิจออนไลน์ได้ดีที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีคอร์สสอนการทำ SEO อยู่มาก ควรที่จะศึกษาและลงเรียนในคอร์สที่มีวิทยากรมืออาชีพ จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น

จะเป็นนักเขียน SEO ต้องรู้อะไรบ้าง

post

ข้อดีและข้อจำกัดเกี่ยวกับ SEO ที่ทุกคนควรรู้

SEO หรือ search engine optimization เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คนทำเว็บไซต์รุ่นใหม่ศึกษา และพัฒนาให้อันดับในการสืบค้นผ่าน Google ดีขึ้น เพื่อได้ผลลัพธ์ที่ดี คือ เพิ่มยอดขายและทำให้มีลูกค้ามากขึ้นต่อเนื่อง

แต่การทำ SEO ก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ซึ่งเราได้รวบรวมมาฝากกัน เพื่อให้ทุกท่านได้เข้าได้และคาดหวังผลได้ถูกต้องก่อนการเริ่มทำ ดังนี้

1. การทำ SEO ไม่จำเป็นต้องจ้าง

การทำ SEO สามารถเรียนรู้ทำได้ด้วยตนเองโดยการอ่านจากหนังสือเข้าคอร์สและเรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรง จะทำให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างบริษัทเอกชนได้ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเปิดร้านค้าออนไลน์ที่มีต้นทุนน้อย ควรลดต้นทุนให้มากที่สุด

แต่หากเป็นเว็บไซต์ใหญ่ ๆ หรือเจ้าของกิจการที่ต้องทำงานหลายอย่างพร้อม ๆ กัน เช่น การบริหาร การวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ฯลฯ ก็อาจเลือกจ้างทำ SEO ถ้าประเมินแล้วคุ้มค่าเวลามากกว่า

2. จ้างโฆษณา SEM เสริมได้

การทำโฆษณา SEM หรือ search engine Marketing เป็นการประมูลพื้นที่โฆษณาในหน้าผลการค้นหาของ Google ให้ปรากฏในอันดับต้น ๆ และต้องมีการประมูลพื้นที่ระหว่างหลาย ๆ เว็บไซต์ที่ต้องการใช้ keyword เดียวกัน เป็นสิ่งที่ควรทำเสริมกับ SEO เฉพาะช่วงที่มีโปรโมชั่นสินค้าใหม่ ๆ ที่ต้องการกระตุ้นยอดขาย โดยประเมินแล้วว่ารายได้จะคุ้มค่ากับรายจ่ายนี้

อย่างไรก็ตาม แม้จะทำ SEO อย่างเดียว เว็บไซต์คุณก็มีอันดับที่ดีและมียอดขายสูงได้ เพียงอาศัยความสม่ำเสมอในการทำ หากคุณเป็นบริษัทที่มีงบประมาณน้อย ไม่ต้องการลงทุนมาก แนะนำให้ทำ SEO เป็นหลักจนเข้าใจภาวะเสถียรของการตลาดออนไลน์ในสายธุรกิจตัวเอง หากมีงบประมาณเหลือจึงค่อยทำ SEM เสริม

3. ต้องใช้ระยะเวลาสะสมข้อมูล

การทำ SEO ต้องให้ระบบ algorithm ของ Google มาเก็บข้อมูลสำรวจเป็นระยะ โดยต้องเข้าไปใน Google search Console ลงทะเบียนยืนยันตัวตนและแจ้งโดเมนที่ต้องการให้ Google มาเก็บข้อมูลก่อน

การทำ SEO ต้องอาศัยระยะเวลาเห็นผลโดยเฉลี่ย 3 ถึง 6 เดือนสำหรับธุรกิจทั่วไป และอาจมากถึง 1 ปี สำหรับธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง เพื่อให้อันดับ average position เปลี่ยนแปลง ต่างจากการจ้างทำโฆษณาซึ่งเห็นผลในช่วงไม่กี่วัน

4. เสริมภาพลักษณ์ธุรกิจ

การทำ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์คุณดูทันสมัยและมีเอกลักษณ์ขึ้น เนื่องจากต้องมีการทำทั้งโครงสร้างเว็บไซต์ให้สวยงามใช้ง่าย ในระบบโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ การเชื่อมโยงลิงก์กับเพจหรือเว็บไซต์อื่น ๆ การใส่เนื้อหาที่มี keyword น่าสนใจตรงกับการสืบค้น ฯลฯ

การปรับปรุงองค์ประกอบเหล่านี้อยู่เสมอ จะทำให้แบรนด์ดูทันสมัยและมียอดขายที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนด้วย

จะเห็นได้ว่า SEO มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด การเรียนรู้ให้เข้าใจหลักการและนำมาพัฒนาเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับการทำการตลาดรูปแบบอื่น ๆ จะทำให้คุณมีโอกาสประสบความสำเร็จในธุรกิจมากยิ่งขึ้นได้

การทำ SEO ก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด

post

หา keyword อย่างไรให้เว็บไซต์ SEO มีอันดับ

การใช้ keyword ที่เหมาะสมในการทำบทความให้เว็บไซต์ SEO เป็นสิ่งที่จะต้องใส่ใจมาก เนื่องจาก keyword คือหัวใจของการผลิตบทความ หากเลือกคำที่ตรงกับการค้นหาของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจริง ๆ จะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสาร เชื่อมโยงสู่โอกาสในการสร้างแบรนด์ รวมถึงเพิ่มยอดขายสินค้าและบริการตามมาได้ การเลือก keyword จึงจำเป็นต้องดูเทคนิคแบบมืออาชีพ ดังนี้

ค้นหา keyword SEO คุณภาพอย่างไร

การหา keyword SEO ตามระบบ search engine optimization ที่ Google มีมาตรฐานในการคัดกรองคุณภาพของเว็บไซต์นั้น โดยทั่วไปสามารถหาได้จากวิธีที่ง่าย สะดวกและรวดเร็วที่สุด คือ การลองพิมพ์ด้วยตัวเองในช่อง Google Search เกี่ยวกับสินค้า เช่น หากคุณทำเว็บไซต์เพื่อขายเฟอร์นิเจอร์ ก็สามารถที่จะลองพิมพ์ใน ช่อง Google Search ดังกล่าว จากนั้นจะพบว่าระบบแสดงตัวอย่างคำแบบอัตโนมัติ เช่น คำว่า เฟอร์นิเจอร์ ชลบุรีเฟอร์นิเจอร์ไม้ เฟอร์นิเจอร์ มือสอง เฟอร์นิเจอร์ห้องนอน ฯลฯ คำเหล่านี้ คือ คำที่มีการใช้ค้นหาจริงในกลุ่มคนไทย ที่ต้องการหาเฟอร์นิเจอร์ไว้ในบ้าน

จากนั้นก็เลือกคำที่เหมาะสมกับสินค้าและบริการที่มีอยู่ เพื่อไปผลิตบทความ SEO ได้ต่อไป หรืออาจใช้การสังเกตจากคำแนะนำในด้านล่างของการค้นด้วย Google search ที่เรียกว่า Google related search จากที่เราพิมพ์คำลงไปแล้ว จะมีตัวอย่างคำต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ที่ด้านล่างสุดของหน้าจอ เช่น เฟอร์นิเจอร์ มินิมอล สไตล์ แนะนำ แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ เฟอร์นิเจอร์ สวย ลดราคา ฯลฯ คำเหล่านี้ก็สามารถนำมาผลิตบทความที่ไม่ซ้ำใคร ก็จะได้รับความดึงดูดใจจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

นอกจาก วิธีการแบบพื้นฐานที่กล่าวมาแล้ว ยังสามารถใช้เว็บไซต์ Ubersuggest ในการวิเคราะห์ โดยอ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ชั้นนำอันดับ 1-10 ต้น ๆ ในหน้าแรกของการสืบค้นด้วย Google search ว่ามีค่า Traffic หรือค่า CTR (Click through Rate) หมายถึงอัตราจำนวนครั้งของการคลิกเข้ามาชมต่อจำนวน 100 ครั้งที่มองเห็นในหน้าผลการค้นหา โดยแสดงผลแยกกันแต่ละ keyword ซึ่งหาก keyword ได้รับความนิยมสูง ก็สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างบทความ SEO โดยคาดหวังผลลัพธ์สูงได้ ว่าจะได้รับความนิยมมากเช่นเดียวกันกับเว็บไซต์ชั้นนำเหล่านั้น

หากเข้าไปชมในเว็บไซต์ Ubersuggest จะสังเกตได้ง่าย ๆ ว่าจะมี keyword ที่เป็น long tail keyword คือ keyword ที่มีความยาวและจำเพาะเจาะจงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่มีค่า traffic และ CTR สูง เช่น คำว่า เฟอร์นิเจอร์ มือสอง ญี่ปุ่น, เฟอร์นิเจอร์ ห้องนอน ราคาถูก, เฟอร์นิเจอร์ สวย ๆ ราคาถูก เป็นต้น ซึ่งการใช้ข้อมูลทางสถิติเหล่านี้และตัวอย่างจากผลการวิเคราะห์ของระบบมาช่วยในการเลือก keyword SEO ก็สามารถทำให้ได้บทความที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่าวิธีในการเลือก keyword มาใช้ในบทความ SEO มีอยู่หลายวิธี หวังว่าเทคนิคที่นำเสนอข้างต้น จะเป็นประโยชน์ต่อคนทำเว็บไซต์ SEO ในการเสริมสร้างความสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์มากยิ่งขึ้น

หา keyword อย่างไรให้เว็บไซต์ SEO มีอันดับ

post

เมื่อทำเว็บไซต์ SEO จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างกับธุรกิจคุณ

การทำเว็บไซต์ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นกลยุทธ์การตลาดที่นักธุรกิจออนไลน์ยุคใหม่ได้รับคำแนะนำจากกูรูที่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลากหลายด้านกับธุรกิจออนไลน์ ทั้งนี้ ท่านที่ยังสงสัยหรือเป็นมือใหม่ในวงการซื้อขายออนไลน์อาจยังไม่เข้าใจ SEO ดีนัก เราจึงได้รวบรวมการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับเว็บไซต์ของคุณ หากทำ SEO ให้เว็บไซต์ออนไลน์เสียแต่วันนี้

ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า SEO เป็นการพัฒนาเว็บไซต์ตามระบบที่ Search Engine กำหนดเพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่สร้างสรรค์เว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูง จะถูกแสดงเป็นอันดับต้น ๆ ในหน้าต่างการสืบค้น เมื่อมีกลุ่มคนเป้าหมายใช้ Keyword SEO ที่ตรงกัน ก็จะปรากฏเว็บไซต์คุณเป็นอันดับที่ 1- 10 ที่สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า ทำให้มียอดการคลิกเข้ามาชมและมีโอกาสขายสินค้าได้สูง สิ่งที่จะเกิดตามมาเมื่อคุณทำ SEO ให้เว็บไซต์ จึงมีดังนี้

1. ทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และสร้างการจดจำได้ เช่น เมื่อต้องการใช้บริการร้านดอกไม้ออนไลน์ก็จะนึกถึงร้านคุณเป็นอันดับต้น ๆ หากปรากฏผลทุก ๆ ครั้งที่ค้นหา เพราะคุณทำ SEO สม่ำเสมอ

2. ทำให้ยอดขายสูงขึ้น จากที่กล่าวไปแล้ว เมื่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเห็นชื่อเว็บไซต์คุณเป็นอันดับต้น ๆ ก็จะเกิดการคลิกเข้ามาชมข้อมูลและสั่งซื้อสินค้าด้วยความไว้วางใจมากกว่าเว็บไซต์อันดับล่าง ๆ

3. เกิดภาพลักษณ์ที่ดี หากคุณสร้างบทความ SEO ที่มีคุณประโยชน์แก่คนอ่าน เช่น การเลือกสีดอกไม้ให้ผู้รับในโอกาสต่าง ๆ เทคนิคการสังเกตดอกไม้ว่าสดใหม่ เป็นต้น จะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจในคุณภาพของบทความ และหากมีการทำคลิปวีดีโอการจัดดอกไม้ไว้ด้วย ก็ยิ่งทำให้ลูกค้าเห็นว่าคุณมีความตั้งใจในการทำเว็บไซต์มาก จะได้รับการสนับสนุนสั่งจองดอกไม้ และมีภาพลักษณ์ที่ดีในระยะยาว

4. ลูกค้าประจำช่วยบอกต่อ เมื่อทำ SEO ต่อเนื่อง จะทำให้มีลูกค้ามาใช้บริการซ้ำมากขึ้น และเกิดกระแสบอกต่อ ทำให้ธุรกิจขยายตัว เกิดลูกค้ากลุ่มใหม่ตามมา

5. ขยายกิจการไปยังลูกค้าต่างประเทศ การทำเว็บไซต์ SEO ที่เป็นระบบ 2 ภาษา เช่น มีภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษด้วย จะทำให้มีโอกาสที่ Keyword จะถูกค้นพบโดยชาวต่างชาติจากการค้นหาใน Google, Bing, Yahoo คุณจึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาในต่างประเทศ ดังนั้น SEO จึงเป็นเทคนิคที่ช่วยประหยัดต้นทุนทางธุรกิจได้อย่างมาก

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ทางธุรกิจทุกประเภท จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างทวีคูณ หวังว่าบทความนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกท่านใส่ใจการทำเว็บไซต์ SEO กันมากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในกิจการระยะยาว

SEO เป็นการพัฒนาเว็บไซต์ตามระบบ

post

ทำไมทำธุรกิจการโรงแรมจึงต้องทำเว็บไซต์ SEO

การทำรีสอร์ตและการโรงแรมเป็นประเภทธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความผันผวนมาก และระบบเศรษฐกิจส่งผลทำให้การท่องเที่ยวลดน้อยลงโดยภาพรวม

นักธุรกิจกลุ่มการโรงแรมจึงจำเป็นต้องทำเว็บไซต์เพื่อให้มีโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์โปรโมชั่นห้องพักในวันต่าง ๆ ตามเทศกาลด้วย

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเทคนิคการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ควบคู่กับการเสริมภาพลักษณ์ของโรงแรมได้ โดยนักธุรกิจการโรงแรมต้องให้ความสำคัญกับ 2 องค์ประกอบหลัก คือ

1. ส่วน On-Page SEO ได้แก่

การเลือก Keyword ที่เหมาะสม ตรงกับการสืบค้นของกลุ่มนักท่องเที่ยว เช่น รีสอร์ตของคุณเหมาะกับนักท่องเที่ยวกลุ่มใด วัยทำงาน เดินทางคนเดียว หมู่คณะหรือแบบครอบครัว คนไทยหรือชาวต่างชาติ จะต้องเลือก Keyword ที่เหมาะสมในการเขียนบทความและหัวข้อที่ดึงดูดใจให้คนเข้ามาคลิกชมเพจ

คุณภาพของบทความ ต้องเลือกทีมนักเขียนที่มีประสบการณ์ในการท่องเที่ยวเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนักท่องเที่ยวมักมองหาสถานที่แปลกใหม่ที่ใกล้กับโรงแรมที่พัก หากเลือกทีมนักเขียนที่ไม่สามารถผลิตเนื้อหาเชิญชวนให้รู้จักสถานที่ท่องเที่ยวได้ ก็จะทำให้การทำ SEO ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร (ทั้งนี้ ต้องไม่มีการคัดลอกข้อมูลจากแหล่งอื่น เพราะจะทำให้ถูกลดอันดับ SEO และเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย)

เลือกธีมสีตัวอักษร ออกแบบโลโก้ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ เพราะจะทำให้ลูกค้าจดจำสถานที่พักของคุณได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ ควรเลือกสีให้ความรู้สึกเป็นมิตรและเป็นกันเองกับนักท่องเที่ยว เช่น โทนสีอบอุ่น อย่างสีน้ำตาล สีครีม สีเขียว เป็นต้น

การสร้างสื่อหรือคลิปที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์ของห้องพักรีสอร์ต รวมถึงบรรยากาศทั้งภายในและโดยรอบของโรงแรม โดยต้องสอดคล้องกับ Keyword ที่เลือกใช้

2. ส่วน Off-Page SEO

เป็นการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ตามห้องสนทนาต่าง ๆ เช่น Pantip หรือ Facebook เพื่อให้ผู้ที่สนใจอ่าน ทั้งนี้ หากมีผู้ขอคำแนะนำสถานที่พัก คุณก็สามารถแปะลิงก์เว็บไซต์โรงแรม เพื่อให้เกิด Traffic มาที่เว็บไซต์ จะทำให้เพิ่มอันดับ SEO ในการค้นหาดีขึ้น และเพิ่มฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นด้วย

หากต้องการเพิ่มยอดจองห้องพักให้สูงขึ้นตลอดทั้งปี ควรเร่งศึกษาการทำ SEO และปรึกษานักพัฒนาเว็บไซต์หรือผู้ออกแบบเว็บไซต์ที่มีประสบการณ์ เพื่อการปรับปรุงให้เหมาะสมตามหลักเกณฑ์ของ Search Engine ทั้ง Bing, Yahoo และ Google แม้การทำ SEO ต้องใช้เวลาในการเห็นผล 6 เดือนถึง 1 ปี แต่ก็นับว่าคุ้มค่ากับผลที่ได้ในระยะยาว

จากที่กล่าวมา จึงสรุปได้ว่าการทำเว็บไซต์ SEO มีความสำคัญต่อเว็บไซต์การโรงแรม ให้ถูกจัดอยู่ในอันดับการสืบค้นที่ดีขึ้น ส่งผลต่อให้ธุรกิจการโรงแรมของคุณได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณา

ทำไมทำธุรกิจการโรงแรมจึงต้องทำเว็บไซต์ SEO

post

กลยุทธ์การใช้คีย์เวิร์ดเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO

เว็บไซต์มีการแข่งขันกันตลอดเวลา การจัดอันดับเว็บใน Google จึงปรับเลื่อนขึ้นและลงอยู่เสมอ ใครหยุดนิ่งอยู่กับที่ก็มีแต่ละถูกลดอันดับลงไปเรื่อย ๆ สิ่งที่ทำให้การจัดอันดับดีขึ้นมีหลายปัจจัยด้วยกัน บทความคือองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าเป้าหมายเข้าใจธุรกิจและสินค้าเพิ่มขึ้น มีโอกาสรู้จักแบรนด์และกระตุ้นยอดขายมากขึ้น ไม่เฉพาะการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพหรืออัปเดตคอนเทนต์ใหม่ ๆ เท่านั้น การวิจัยคีย์เวิร์ดก็เป็นขั้นตอนจำเป็นเพื่อดึงดูดผู้เข้าชมและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือค้นหา ช่วยให้การตลาดออนไลน์ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

การเลือกคำหลักและใส่ลงในบทความจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรรู้ มีคำแนะนำมาฝากกันดังนี้

1.ค้นหาคำหลักที่เหมาะสม

การเลือกคีย์เวิร์ดเป็นขั้นตอนสำคัญในการเขียนบทความเพื่อทำ SEO โดยพิจารณาคำที่ตรงกับธุรกิจและอุตสาหกรรม สินค้าและบริการ ก่อนอื่นจะต้องรู้ว่าคำหลักคำใดดีที่สุดสำหรับเว็บไซต์เพื่อใช้เป็นตัวหลักในบทความ ส่วนคำอื่น ๆ เป็นคำรองที่สลับกันได้ในแต่ละบท มีเครื่องมือฟรีมากมายช่วยทำการวิจัยคำหลัก เช่น Google Keyword หรือเครื่องมือยอดนิยมที่ต้องเสียเงิน เช่น AHREFS, Semrush, Woorank

โดยคำหลักที่ดีต้องไม่มีการแข่งขันสูงเกินไป ตัวอย่างเช่น “ช่างซ่อมรถยนต์” เป็นคำทั่วไปที่จะปรากฏคำค้นหาจำนวนมาก ควรเลือกคำหลักที่เฉพาะเจาะจงกว่านั้น เช่น “ช่างซ่อมรถยนต์ในเขตปทุมวัน กรุงเทพฯ” นอกจากนี้ยังใช้คำหลักที่มีความยาว 3-4 คำขึ้นไปเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและสะดวกกับเครื่องมือค้นหาด้วย เช่น “วิธีตรวจเช็คสภาพรถยนต์เบื้องต้น” หรือ “จุดตรวจเช็ครถก่อนเดินทางไกล” และ “การตรวจระดับน้ำมันต่าง ๆ ” สามารถใส่ลงในหัวข้อบทความได้เลย ทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายค้นพบบทความและเว็บไซต์ได้ง่าย สามารถติดต่อขอข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติมในภายหลัง

2.ใช้คำหลักในตำแหน่งที่ถูกต้อง

เมื่อค้นพบคำหลักตรงเป้าหมายแล้วให้ใช้เพียง 1-2 คีย์เวิร์ดในแต่ละบทความ ตำแหน่งที่เหมาะสมคือพาดหัวบทความ ย่อหน้าแรก ส่วนที่เหลือกระจายไปในแต่ละย่อหน้า และย่อหน้าสุดท้าย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เครื่องมือค้นหามีการรวบรวมข้อมูลทำให้รู้ว่าโพสต์นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ถ้าบทความค่อนข้างสั้นไม่จำเป็นต้องใส่คีย์เวิร์ดถี่เกินไป อย่างน้อยควรมี 1 คำในย่อหน้าแรกที่เป็นคำนำ และอีก 1 คำในย่อหน้าสุดท้ายที่เป็นบทสรุป คีย์เวิร์ดจะต้องกลมกลืนไปกับเนื้อหาอย่างเป็นธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการใช้คำที่ไม่เกี่ยวข้องหรือคำศัพท์เฉพาะอย่างเช่นศัพท์ทางเทคนิคและวิศวกรรมต่าง ๆ ซึ่งยากเกินไปไม่มีประโยชน์กับการทำ SEO แนะนำให้เลือกคำทั่วไปที่คนส่วนใหญ่ใช้ในการค้นหาข้อมูล สุดท้ายตรวจสอบให้แน่ใจว่าคำหลักนั้นมีอยู่ใน URL และ Meta Tag ซึ่งเป็นคำอธิบายรายละเอียดของเนื้อหาในหน้าเว็บนั้น เพื่อสร้างเส้นทางให้ผู้ค้นหาพบเห็นและคลิกเพื่ออ่านบทความเต็ม

การเขียนบทความที่กระชับ เพิ่มหัวข้อย่อยและมีย่อหน้าเล็ก ๆ จะเพิ่มประสิทธิภาพของหน้าเว็บให้อ่านง่ายบนหน้าจออุปกรณ์มือถือ ซึ่งทาง Google เริ่มให้ความสำคัญในการจัดอันดับหน้าเว็บยอดนิยมเมื่อเร็ว ๆ นี้ เนื้อหาที่อ่านง่าย มีขนาดที่เหมาะสมสำหรับหน้าจอ ถือว่าตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างยอดเยี่ยมจะได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นด้วย

การเลือกคำหลักและใส่ลงในบทความ

post

ความสำคัญและประโยชน์ของ keyword SEO

การประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ออนไลน์ให้เป็นที่รู้จักจะต้องมีการทำการตลาด ซึ่งวิธีที่นิยมมากในปัจจุบันก็คือ การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีในหน้าสืบค้นด้วย keyword ต่าง ๆ จากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

ซึ่งในการทำ SEO ต้องมีการใช้คีย์เวิร์ด SEO สำหรับการเขียนบทความที่มีคุณภาพ โดยการใช้คีย์เวิร์ดต้องมาจากการสืบค้นใน Google Search แล้วเลือกคำที่ตรงกับสินค้าและบริการที่มีในเว็บไซต์คุณ มาเขียนโดยให้กระจายอยู่ในบทความอย่างน้อย 2-3 แห่ง โดยคีย์เวิร์ด SEO สามารถแยกออกได้เป็น ประเภทต่าง ๆ ดังนี้

1. Niche Keyword เป็นคำค้นหาที่มีความเฉพาะเจาะจง จะพบกับเว็บไซต์ที่เน้นการขายสินค้าในหมวดหมู่นั้น ๆ เช่น มีการระบุชื่อรุ่นของโทรศัพท์มือถือ Notebook รองเท้ากีฬา เป็นต้น

2. Widely Keyword เป็นคำสั้น ๆ มักจะใช้กับการเขียนบทความ SEO ที่เป็นการให้ความรู้ทั่วไป เช่น โรงแรม ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว รองเท้าผู้ชาย เป็นต้น

3. Misspelling Keyword นั้นเกิดจากการสะกดผิด เช่น คำว่า Google ภาษาไทย เขียนเป็น กูเกิล และ กูเกิ้ล ซึ่งจะมีการใช้ทั้ง 2 แบบเขียนในบทความ เป็นต้น

4. Long-tailed Keyword เป็นคีย์เวิร์ดที่มีส่วนขยายความ ซึ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เช่น ร้านขายดอกไม้ออนไลน์โคราช รีสอร์ทแอนด์สปาเชียงใหม่ เป็นต้น เพราะว่าเป็นให้ผลการสืบค้นที่ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น

Keyword SEO สำคัญต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ เนื่องจากระบบอัลกอริทึ่มของ Search Engine อย่าง Yahoo , Google จะนำวิเคราะห์คุณภาพบทความจากการใส่ Keyword SEO โดยผู้เขียนบทความ SEO จะต้องระมัดระวังการใส่คีย์เวิร์ดที่ซ้ำมากเกินไป ทำให้เนื้อหาอ่านไม่รู้เรื่อง หรือมีการใช้คีย์เวิร์ดที่ยัดเยียดทำให้คนอ่านรู้สึกว่าบทความไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งจะส่งผลทำให้ผลการจัดอันดับเว็บไซต์ต่ำลง ซึ่งจะทำให้เสียโอกาสในการแข่งขันกับเว็บไซต์ของคู่แข่งรายอื่นที่ใช้คีย์เวิร์ดเดียวกัน

นอกจากคีย์เวิร์ด SEO จะใช้สำหรับการเขียนบทความแล้ว ผู้เชี่ยวชาญทางการตลาดออนไลน์ ยังแนะนำให้ใส่ในส่วนของชื่อเพจ URL Address หรือ ลิ้งค์เว็บไซต์ และส่วน Meta Description (ส่วนสรุปเนื้อหาของแต่ละหน้าเพจในเว็บไซต์) ชื่อของรูป ชื่อของคลิป ฯลฯ เพื่อเป็นการสะสมข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ ที่จะช่วยให้ผลการวิเคราะห์อันดับเว็บไซต์ดีขึ้นในระยะยาวด้วย

การทำเว็บไซต์ออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ มียอดผู้ชมเว็บไซต์และยอดขายที่ดี ต้องให้ความสำคัญกับการทำเว็บไซต์ที่สวยงามใช้งานง่าย และต้องสามารถใช้ Keyword SEO อย่างเหมาะสมด้วย จึงจะทำให้มีผลในการจัดอันดับการสืบค้นที่ดีใน Google และ Yahoo ซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและเพิ่มยอดขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ความสำคัญ ประโยชน์ของ keyword SEO