post

ทำไมการทำ Meta description จึงสำคัญต่อการทำเว็บไซต์ SEO

การทำเว็บไซต์ SEO หรือ ทำตามระบบ search engine optimization ที่ Google กำหนด เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากระบบ algorithm ของ Google จะวิเคราะห์คุณภาพของเว็บไซต์และจัดอันดับให้อยู่ด้านบนในหน้าต่างการนำเสนอ เมื่อมีการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดหนึ่ง ๆ จึงมีโอกาสที่จะขายสินค้าและบริการได้มากกว่าเว็บไซต์อื่น ๆ

meta description สำคัญอย่างไร

การทำ meta description ที่เหมาะสม ยังเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการทำให้เว็บไซต์ SEO สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ดี เพิ่มอัตราการคลิกเข้ามาชมข้อมูลเพิ่มในเว็บไซต์ และเพิ่มยอดขายสินค้าได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจาก meta description เป็นการสรุปความของเนื้อหาเพจ ที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายสามารถใช้เวลาอ่านเพียงไม่กี่วินาที เพื่อการประเมินว่าควรคลิกเข้ามาอ่านข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียดเพิ่มเติมในเพจหรือไม่

หากเว็บไซต์ใดที่ปฏิบัติตามหลัก SEO ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงในส่วนโครงสร้าง การทำ link เชื่อมโยงเพจ การผลิตบทความที่มีคุณภาพ แต่ไม่ได้ทำ meta description ก็เท่ากับขาดส่วนสำคัญในการดึงดูดใจลูกค้า

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเว็บไซต์จำนวนมาก ที่ใช้เทคนิคการผลิตบทความที่มีการซ้ำคัดลอกหรือมีเนื้อหาที่เป็นการขายสินค้ามากจนเกินไป ซึ่งทำให้ผู้ใช้บริการไม่ประทับใจและรู้สึกว่ากำลังเสียเวลาในการอ่านข้อมูล การมีส่วน meta description ที่จะแสดงทุกครั้งใต้ส่วน title หรือ หัวเรื่อง เมื่อลูกค้าพิมพ์ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ด ใน Google search จะทำให้ลูกค้าเห็นข้อมูลสรุปก่อนที่จะคลิกเข้ามา เท่ากับช่วยลดความเสี่ยงในการต้องเสียเวลากับเว็บไซต์ที่คุณภาพต่ำmeta description สำคัญอย่างไร

บริษัทรับจ้างทำ SEO หรือ นักเขียนงานแนว SEO จึงควรทำส่วน meta description ที่มีคุณภาพ มีคีย์เวิร์ดตรงกับในบทความและหัวข้อที่นำเสนอ เพื่อแสดงถึงความจริงใจและความซื่อสัตย์ต่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย อันเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ สร้างความทันสมัยให้แก่เว็บไซต์ และทำให้มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคลิกเข้ามาอ่านข้อมูลสินค้าและบริการ ทั้งเลือกซื้อสินค้าที่จำหน่ายมากยิ่งขึ้น

ส่วน meta description ควรจะจำกัดความยาวให้อยู่ที่ประมาณ 150 คำ เนื่องจากวัตถุประสงค์ในการทำ คือ เป็นการสรุปความที่ลัดสั้น จึงควรมีความกระชับ ตรงประเด็น และใช้ภาษาที่เป็นทางการเชื่อถือได้ให้มากที่สุด จะทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมั่นใจได้ว่าข้อมูลในเว็บไซต์จะตรงกับสินค้าและบริการที่กำลังมองหา ขณะเดียวกันก็จะทำให้อันดับของ SEO จากระบบ algorithm วิเคราะห์ได้ดียิ่งขึ้น (หากความยาวมากเกินไป จะเป็นผลลบต่อการจัดอันดับ SEO แทน)

จะเห็นได้ว่า ส่วน meta description มีความสำคัญ ควรทำโดยผู้มีความชำนาญ เพื่อให้ลูกค้าเป้าหมายเข้าใจประเด็นที่ต้องการสื่อสารได้ดี และช่วยดึงดูดใจให้คลิกเข้ามาชม เพื่อส่งเสริมอันดับ SEO เพิ่มค่า traffic และเพิ่มยอดขายสินค้าและบริการให้มากยิ่งขึ้น

post

เมื่อทำเว็บไซต์ SEO จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างกับธุรกิจคุณ

การทำเว็บไซต์ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นกลยุทธ์การตลาดที่นักธุรกิจออนไลน์ยุคใหม่ได้รับคำแนะนำจากกูรูที่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลากหลายด้านกับธุรกิจออนไลน์ ทั้งนี้ ท่านที่ยังสงสัยหรือเป็นมือใหม่ในวงการซื้อขายออนไลน์อาจยังไม่เข้าใจ SEO ดีนัก เราจึงได้รวบรวมการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับเว็บไซต์ของคุณ หากทำ SEO ให้เว็บไซต์ออนไลน์เสียแต่วันนี้

ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า SEO เป็นการพัฒนาเว็บไซต์ตามระบบที่ Search Engine กำหนดเพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่สร้างสรรค์เว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูง จะถูกแสดงเป็นอันดับต้น ๆ ในหน้าต่างการสืบค้น เมื่อมีกลุ่มคนเป้าหมายใช้ Keyword SEO ที่ตรงกัน ก็จะปรากฏเว็บไซต์คุณเป็นอันดับที่ 1- 10 ที่สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า ทำให้มียอดการคลิกเข้ามาชมและมีโอกาสขายสินค้าได้สูง สิ่งที่จะเกิดตามมาเมื่อคุณทำ SEO ให้เว็บไซต์ จึงมีดังนี้

1. ทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และสร้างการจดจำได้ เช่น เมื่อต้องการใช้บริการร้านดอกไม้ออนไลน์ก็จะนึกถึงร้านคุณเป็นอันดับต้น ๆ หากปรากฏผลทุก ๆ ครั้งที่ค้นหา เพราะคุณทำ SEO สม่ำเสมอ

2. ทำให้ยอดขายสูงขึ้น จากที่กล่าวไปแล้ว เมื่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเห็นชื่อเว็บไซต์คุณเป็นอันดับต้น ๆ ก็จะเกิดการคลิกเข้ามาชมข้อมูลและสั่งซื้อสินค้าด้วยความไว้วางใจมากกว่าเว็บไซต์อันดับล่าง ๆ

3. เกิดภาพลักษณ์ที่ดี หากคุณสร้างบทความ SEO ที่มีคุณประโยชน์แก่คนอ่าน เช่น การเลือกสีดอกไม้ให้ผู้รับในโอกาสต่าง ๆ เทคนิคการสังเกตดอกไม้ว่าสดใหม่ เป็นต้น จะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจในคุณภาพของบทความ และหากมีการทำคลิปวีดีโอการจัดดอกไม้ไว้ด้วย ก็ยิ่งทำให้ลูกค้าเห็นว่าคุณมีความตั้งใจในการทำเว็บไซต์มาก จะได้รับการสนับสนุนสั่งจองดอกไม้ และมีภาพลักษณ์ที่ดีในระยะยาว

4. ลูกค้าประจำช่วยบอกต่อ เมื่อทำ SEO ต่อเนื่อง จะทำให้มีลูกค้ามาใช้บริการซ้ำมากขึ้น และเกิดกระแสบอกต่อ ทำให้ธุรกิจขยายตัว เกิดลูกค้ากลุ่มใหม่ตามมา

5. ขยายกิจการไปยังลูกค้าต่างประเทศ การทำเว็บไซต์ SEO ที่เป็นระบบ 2 ภาษา เช่น มีภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษด้วย จะทำให้มีโอกาสที่ Keyword จะถูกค้นพบโดยชาวต่างชาติจากการค้นหาใน Google, Bing, Yahoo คุณจึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาในต่างประเทศ ดังนั้น SEO จึงเป็นเทคนิคที่ช่วยประหยัดต้นทุนทางธุรกิจได้อย่างมาก

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ทางธุรกิจทุกประเภท จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างทวีคูณ หวังว่าบทความนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกท่านใส่ใจการทำเว็บไซต์ SEO กันมากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในกิจการระยะยาว

SEO เป็นการพัฒนาเว็บไซต์ตามระบบ

post

ทำไมทำธุรกิจการโรงแรมจึงต้องทำเว็บไซต์ SEO

การทำรีสอร์ตและการโรงแรมเป็นประเภทธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความผันผวนมาก และระบบเศรษฐกิจส่งผลทำให้การท่องเที่ยวลดน้อยลงโดยภาพรวม

นักธุรกิจกลุ่มการโรงแรมจึงจำเป็นต้องทำเว็บไซต์เพื่อให้มีโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์โปรโมชั่นห้องพักในวันต่าง ๆ ตามเทศกาลด้วย

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเทคนิคการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ควบคู่กับการเสริมภาพลักษณ์ของโรงแรมได้ โดยนักธุรกิจการโรงแรมต้องให้ความสำคัญกับ 2 องค์ประกอบหลัก คือ

1. ส่วน On-Page SEO ได้แก่

การเลือก Keyword ที่เหมาะสม ตรงกับการสืบค้นของกลุ่มนักท่องเที่ยว เช่น รีสอร์ตของคุณเหมาะกับนักท่องเที่ยวกลุ่มใด วัยทำงาน เดินทางคนเดียว หมู่คณะหรือแบบครอบครัว คนไทยหรือชาวต่างชาติ จะต้องเลือก Keyword ที่เหมาะสมในการเขียนบทความและหัวข้อที่ดึงดูดใจให้คนเข้ามาคลิกชมเพจ

คุณภาพของบทความ ต้องเลือกทีมนักเขียนที่มีประสบการณ์ในการท่องเที่ยวเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนักท่องเที่ยวมักมองหาสถานที่แปลกใหม่ที่ใกล้กับโรงแรมที่พัก หากเลือกทีมนักเขียนที่ไม่สามารถผลิตเนื้อหาเชิญชวนให้รู้จักสถานที่ท่องเที่ยวได้ ก็จะทำให้การทำ SEO ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร (ทั้งนี้ ต้องไม่มีการคัดลอกข้อมูลจากแหล่งอื่น เพราะจะทำให้ถูกลดอันดับ SEO และเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย)

เลือกธีมสีตัวอักษร ออกแบบโลโก้ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ เพราะจะทำให้ลูกค้าจดจำสถานที่พักของคุณได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ ควรเลือกสีให้ความรู้สึกเป็นมิตรและเป็นกันเองกับนักท่องเที่ยว เช่น โทนสีอบอุ่น อย่างสีน้ำตาล สีครีม สีเขียว เป็นต้น

การสร้างสื่อหรือคลิปที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์ของห้องพักรีสอร์ต รวมถึงบรรยากาศทั้งภายในและโดยรอบของโรงแรม โดยต้องสอดคล้องกับ Keyword ที่เลือกใช้

2. ส่วน Off-Page SEO

เป็นการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ตามห้องสนทนาต่าง ๆ เช่น Pantip หรือ Facebook เพื่อให้ผู้ที่สนใจอ่าน ทั้งนี้ หากมีผู้ขอคำแนะนำสถานที่พัก คุณก็สามารถแปะลิงก์เว็บไซต์โรงแรม เพื่อให้เกิด Traffic มาที่เว็บไซต์ จะทำให้เพิ่มอันดับ SEO ในการค้นหาดีขึ้น และเพิ่มฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นด้วย

หากต้องการเพิ่มยอดจองห้องพักให้สูงขึ้นตลอดทั้งปี ควรเร่งศึกษาการทำ SEO และปรึกษานักพัฒนาเว็บไซต์หรือผู้ออกแบบเว็บไซต์ที่มีประสบการณ์ เพื่อการปรับปรุงให้เหมาะสมตามหลักเกณฑ์ของ Search Engine ทั้ง Bing, Yahoo และ Google แม้การทำ SEO ต้องใช้เวลาในการเห็นผล 6 เดือนถึง 1 ปี แต่ก็นับว่าคุ้มค่ากับผลที่ได้ในระยะยาว

จากที่กล่าวมา จึงสรุปได้ว่าการทำเว็บไซต์ SEO มีความสำคัญต่อเว็บไซต์การโรงแรม ให้ถูกจัดอยู่ในอันดับการสืบค้นที่ดีขึ้น ส่งผลต่อให้ธุรกิจการโรงแรมของคุณได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณา

ทำไมทำธุรกิจการโรงแรมจึงต้องทำเว็บไซต์ SEO

post

จะขายของออนไลน์ ต้องรู้จัก SEO

การทำ SEO เป็นเทคนิคการตลาดที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจที่มีการซื้อขายผ่านทางอินเทอร์เน็ตหรือออนไลน์กันเป็นจำนวนมาก

การทำ SEO จึงเป็นช่องทางที่ผู้ขายสินค้าออนไลน์ยุคปัจจุบันต้องทำความรู้จัก เพื่อให้เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและมีความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งทางธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization จะประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือส่วน On-page SEO และส่วน Off-page SEO

1. ส่วน On-page SEO เป็นการพัฒนาโครงสร้างเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานให้สะดวกสวยงาม เช่น การทำหน้าจอให้เป็นหมวดหมู่สินค้าอย่างเหมาะสม แยกพื้นที่โฆษณาให้ชัดเจน การเลือกสีที่สบายตาเป็นธีมของเว็บไซต์และเป็นเอกลักษณ์

การออกแบบฟอนต์ตัวอักษรที่ให้ความรู้สึกสอดคล้องกับแบรนด์สินค้า รวมถึงการใส่เนื้อหาหรือ Content ที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่เข้ามาหาข้อมูลจากเว็บไซต์

2. Off-page SEO จะเป็นการสร้างลิงก์เพื่อเชื่อมโยงเว็บไซต์ของคุณกับเว็บไซต์ภายนอก ทำให้สามารถเพิ่มกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้เป็นจำนวนมาก เช่น การแนะนำเว็บไซต์ของคุณในห้องสนทนาที่เกี่ยวกับปัญหาการใช้สินค้าประเภทเดียวกับที่คุณจำหน่าย ซึ่งจะเกิดการขยายวงในโลกโซเชียลหรือมีการบอกต่อเว็บไซต์ไปเรื่อย ๆ หรืออาจจะเกิดจากบุคคลอื่นสร้างลิงก์มาสู่เว็บไซต์ขายสินค้าของคุณก็ได้เช่นกัน

การทำ SEO ให้เว็บไซต์ขายของออนไลน์ มีข้อดีหลายประการ ดังนี้

1. ทำให้ลดต้นทุนทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นวิธีที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา การพัฒนาเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับระบบของ Bing, Yahoo หรือ Google ซึ่งเป็น Search Engine อันดับต้น ๆ ของโลกได้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้คุณไม่ต้องเสียจ้างบริษัททำการโฆษณาประชาสัมพันธ์อีกหลายหมื่นหลายแสนบาทต่อเดือนเลยทีเดียว

2. ตัดความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายแอบแฝงจาก Search Engine เนื่องจากการทำ SEO เพื่อให้มีอันดับสูงในหน้าต่างการสืบค้น ไม่สามารถที่จะทำการจ่ายเงินซื้อพื้นที่โฆษณาได้ ต้องมาจากการพัฒนาคุณภาพเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับระบบ SEO เท่านั้น จึงไม่มีการเรียกเก็บเงินจาก Search Engine ให้ต้องกังวลใจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างแน่นอน

3. เพิ่มยอดขายได้ทวีคูณ จากลูกค้าเก่าและใหม่เนื่องจากเมื่อลูกค้าเก่าได้มีโอกาสเห็นเว็บไซต์ของคุณ จะเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมาได้

ส่วนลูกค้าใหม่ที่เห็นเว็บไซต์ขายสินค้าของคุณ ก็จะเป็นช่องทางเลือกใหม่ ๆ ในการซื้อสินค้า การทำ SEO เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยทำให้คุณได้ลูกค้าทั้งสองกลุ่มนี้ จนเพิ่มยอดขายได้ชัดเจนในเวลาไม่นาน

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO เป็นเทคนิคที่ให้ประโยชน์ได้หลากหลายช่วยประหยัดต้นทุนธุรกิจ เพิ่มลูกค้าควบคู่กับยอดขายได้ในเวลาเดียวกัน หวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านเห็นข้อดีของการทำ SEO และรีบศึกษาเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด

การทำ SEO เป็นเทคนิคการตลาดที่ได้รับความนิยมมาก

post

รู้ได้อย่างไรว่าคีย์เวิร์ดใดยากง่ายในการทำ SEO

การทำ SEO นั้น เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่ต้องอาศัยประสบการณ์อย่างมาก หากคุณเป็นมือใหม่อยากทำ SEO ก็จะใจร้อนไม่ได้เลย เพราะต้องอาศัยการสังเกตและเผ้าติดตามอย่างอดทน และแน่นอนสิ่งที่คุณต้องเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือ คีย์เวิร์ด ต่าง ๆ นั่นเอง

คีย์เวิร์ดนั้นมีเป็นร้อยเป็นพันคำ แล้วคำไหนล่ะที่เหมาะสมที่จะนำมาทำ SEO ในบทความนี้เราจะมาดูกันก่อนว่าลักษณะของคีย์เวิร์ดที่ยากและง่ายนั้น เป็นอย่างไร

คีย์เวิร์ดที่ยากในการแข่งขัน

คีย์เวิร์ดที่ยากที่สุด คือ คำเดียว เช่น ดูดวง หางาน ฟังเพลง โหลดเกม หาเพื่อน ความรัก หวย ประกาศ คอนโด บ้าน หมา แมว เป็นต้น ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะใช้ในการค้นหาสิ่งที่ต้องการเหล่านี้ในแต่ละวันเป็นจำนวนครั้งที่สูงมาก หรือเป็นคีย์เวิร์ดที่อยู่ในวงการธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง เช่น ประกันชีวิต ประกันรถยนต์ เงินฝากดอกเบี้ยสูง เป็นต้น ซึ่งการทำ SEO ให้กับคีย์เวิร์ดเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะการแข่งขันสูงมาก ต้องใช้ทั้งเงินและเวลาในการสร้างเครือข่ายและเนื้อหาที่โดนใจคนอ่าน ต้องมีเนื้อหาใหม่ ๆ มาคอยอัปเดตและเป็นเนื้อหาที่ถูกต้อง มีความน่าเชื่อถือและได้รับการรับรองจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก จึงจะทำให้เว็บไซต์สามารถติดอันดับหน้าแรกด้วยคีย์เวิร์ดสั้น ๆ เพียงคำเดียวได้

คีย์เวิร์ดที่ง่ายในการแข่งขัน

ในทางตรงข้ามกับคีย์เวิร์ดที่ยาก คีย์เวิร์ดที่ง่ายก็คือมีจำนวนพยางค์มากกว่า มีคำมากกว่า ก็จะทำให้แข่งขันได้ง่ายขึ้นเพราะคู่แข่งน้อยลง หรือจะเรียกว่ามีความตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่า กล่าวคือเป็นนิชคีย์เวิร์ด (Niche Keyword) การใช้คีย์เวิร์ดลักษณะวลีหรือประโยค แบบ 2 คำ หรือ 3 คำ ก็จะมีความเจาะจงมากกว่า สื่อถึงสินค้าและบริการของคุณจริง ๆ เช่น เป็น คีย์เวิร์ด+ชื่อสถานที่ คีย์เวิร์ด+คุณศัพท์อื่น ๆ เช่น “รับจ้างเลี้ยงหมา รายวัน ราคาไม่แพง” หรือ “ซักแห้ง คลองเตย” หรือ “ร้านดอกไม้ ทิวลิป เอกมัย” คำเหล่านี้ดูจะเป็นคีย์เวิร์ดที่สามารถทำเงินได้ดีมากด้วย เพราะมีความเจาะจงมากกว่า

คีย์เวิร์ดที่ยากในการแข่งขัน

ในการเริ่มต้นนั้น คุณควรจะเริ่มจาก คีย์เวิร์ดที่ง่ายในการแข่งขันก่อน เพราะว่าใช้ระยะเวลาไม่นานเกินไป อีกทั้งง่ายต่อการติดอันดับหน้าแรกของ Google ด้วย เมื่อทำได้แล้วก็จะสร้างกำลังใจให้กับคุณว่าสามารถทำได้เช่นกัน ซึ่งระหว่างที่ทำ SEO คีย์เวิร์ดง่าย ๆ มานั้น คุณก็จะได้เรียนรู้เพิ่มเติมและมีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น รู้ว่าสิ่งใดทำแล้วเห็นผลสิ่งใดไม่เห็นผล ซึ่งจะเป็นความรู้เฉพาะตัวที่ไม่มีใครมาเอาไปจากคุณได้ หลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นคีย์เวิร์ดยากหรือง่าย คุณก็มีความมั่นใจที่จะลงมือทำ SEO อย่างไม่ย่อท้อแล้ว

post

กลยุทธ์การใช้คีย์เวิร์ดเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO

เว็บไซต์มีการแข่งขันกันตลอดเวลา การจัดอันดับเว็บใน Google จึงปรับเลื่อนขึ้นและลงอยู่เสมอ ใครหยุดนิ่งอยู่กับที่ก็มีแต่ละถูกลดอันดับลงไปเรื่อย ๆ สิ่งที่ทำให้การจัดอันดับดีขึ้นมีหลายปัจจัยด้วยกัน บทความคือองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าเป้าหมายเข้าใจธุรกิจและสินค้าเพิ่มขึ้น มีโอกาสรู้จักแบรนด์และกระตุ้นยอดขายมากขึ้น ไม่เฉพาะการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพหรืออัปเดตคอนเทนต์ใหม่ ๆ เท่านั้น การวิจัยคีย์เวิร์ดก็เป็นขั้นตอนจำเป็นเพื่อดึงดูดผู้เข้าชมและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือค้นหา ช่วยให้การตลาดออนไลน์ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

การเลือกคำหลักและใส่ลงในบทความจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรรู้ มีคำแนะนำมาฝากกันดังนี้

1.ค้นหาคำหลักที่เหมาะสม

การเลือกคีย์เวิร์ดเป็นขั้นตอนสำคัญในการเขียนบทความเพื่อทำ SEO โดยพิจารณาคำที่ตรงกับธุรกิจและอุตสาหกรรม สินค้าและบริการ ก่อนอื่นจะต้องรู้ว่าคำหลักคำใดดีที่สุดสำหรับเว็บไซต์เพื่อใช้เป็นตัวหลักในบทความ ส่วนคำอื่น ๆ เป็นคำรองที่สลับกันได้ในแต่ละบท มีเครื่องมือฟรีมากมายช่วยทำการวิจัยคำหลัก เช่น Google Keyword หรือเครื่องมือยอดนิยมที่ต้องเสียเงิน เช่น AHREFS, Semrush, Woorank

โดยคำหลักที่ดีต้องไม่มีการแข่งขันสูงเกินไป ตัวอย่างเช่น “ช่างซ่อมรถยนต์” เป็นคำทั่วไปที่จะปรากฏคำค้นหาจำนวนมาก ควรเลือกคำหลักที่เฉพาะเจาะจงกว่านั้น เช่น “ช่างซ่อมรถยนต์ในเขตปทุมวัน กรุงเทพฯ” นอกจากนี้ยังใช้คำหลักที่มีความยาว 3-4 คำขึ้นไปเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและสะดวกกับเครื่องมือค้นหาด้วย เช่น “วิธีตรวจเช็คสภาพรถยนต์เบื้องต้น” หรือ “จุดตรวจเช็ครถก่อนเดินทางไกล” และ “การตรวจระดับน้ำมันต่าง ๆ ” สามารถใส่ลงในหัวข้อบทความได้เลย ทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายค้นพบบทความและเว็บไซต์ได้ง่าย สามารถติดต่อขอข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติมในภายหลัง

2.ใช้คำหลักในตำแหน่งที่ถูกต้อง

เมื่อค้นพบคำหลักตรงเป้าหมายแล้วให้ใช้เพียง 1-2 คีย์เวิร์ดในแต่ละบทความ ตำแหน่งที่เหมาะสมคือพาดหัวบทความ ย่อหน้าแรก ส่วนที่เหลือกระจายไปในแต่ละย่อหน้า และย่อหน้าสุดท้าย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เครื่องมือค้นหามีการรวบรวมข้อมูลทำให้รู้ว่าโพสต์นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ถ้าบทความค่อนข้างสั้นไม่จำเป็นต้องใส่คีย์เวิร์ดถี่เกินไป อย่างน้อยควรมี 1 คำในย่อหน้าแรกที่เป็นคำนำ และอีก 1 คำในย่อหน้าสุดท้ายที่เป็นบทสรุป คีย์เวิร์ดจะต้องกลมกลืนไปกับเนื้อหาอย่างเป็นธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการใช้คำที่ไม่เกี่ยวข้องหรือคำศัพท์เฉพาะอย่างเช่นศัพท์ทางเทคนิคและวิศวกรรมต่าง ๆ ซึ่งยากเกินไปไม่มีประโยชน์กับการทำ SEO แนะนำให้เลือกคำทั่วไปที่คนส่วนใหญ่ใช้ในการค้นหาข้อมูล สุดท้ายตรวจสอบให้แน่ใจว่าคำหลักนั้นมีอยู่ใน URL และ Meta Tag ซึ่งเป็นคำอธิบายรายละเอียดของเนื้อหาในหน้าเว็บนั้น เพื่อสร้างเส้นทางให้ผู้ค้นหาพบเห็นและคลิกเพื่ออ่านบทความเต็ม

การเขียนบทความที่กระชับ เพิ่มหัวข้อย่อยและมีย่อหน้าเล็ก ๆ จะเพิ่มประสิทธิภาพของหน้าเว็บให้อ่านง่ายบนหน้าจออุปกรณ์มือถือ ซึ่งทาง Google เริ่มให้ความสำคัญในการจัดอันดับหน้าเว็บยอดนิยมเมื่อเร็ว ๆ นี้ เนื้อหาที่อ่านง่าย มีขนาดที่เหมาะสมสำหรับหน้าจอ ถือว่าตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างยอดเยี่ยมจะได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นด้วย

การเลือกคำหลักและใส่ลงในบทความ

post

อยากขยายตลาดไปต่างประเทศ ทำ SEO ให้เว็บไซด์ดีไหม

การทำเว็บไซต์ออนไลน์ขายสินค้าเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากระบบอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงในยุค 5G และความนิยมในการใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน เพื่อติดต่อสื่อสารและค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ทั่วโลก การขยายตลาดของธุรกิจไปยังต่างประเทศ จะทำให้มีฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นนำมาซึ่งความสำเร็จและรายได้ที่งดงามได้ โดยเฉพาะถ้าเว็บไซต์ของคุณทำ SEO ก็จะยิ่งเห็นผลชัดเจน

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเทคนิคหนึ่งที่จะทำให้ขยายตลาดไปสู่กลุ่มลูกค้าต่างประเทศได้ง่าย โดยใช้ต้นทุนต่ำแต่ได้ผลจริงไม่ว่าจะวัดจากจำนวนผู้ชมเข้าเว็บไซต์ จำนวนลูกค้าที่สั่งซื้อ และรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ คือ คุณต้องรู้วิธีการทำ SEO ที่ถูกต้องตามหลักการที่ Search Engine กำหนด เพื่อให้ระบบ AI วิเคราะห์คุณภาพและจัดอันดับเว็บไซต์ไว้ด้านบนของหน้าจอการสืบค้นอยู่เสมอ ดังนี้

1. การใช้ keyword ที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างประเทศควรทำการสืบค้นว่านิยมใช้ Search Engine ใด ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะใช้ Bing, Yahoo และ Google แต่หากเป็นลูกค้าในประเทศจีนก็จะใช้ Baidu เพื่อเลือกคำที่เหมาะสมในการสร้างบทความหรือคลิปส่งเสริมการขาย

2. ทำเว็บไซต์ที่เป็นภาษาต่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับนักแปลหรือผู้ผลิตคอนเทนต์ที่มีความสามารถในการอธิบายเป็นภาษาต่างประเทศได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งด้านไวยากรณ์และสำเนียง โดยเฉพาะการทำคลิปวิดีโอ

3. สีประจำของเว็บไซต์ จำเป็นต่อการสร้างเอกลักษณ์ ควรเน้นสีสันสบายตา และให้ความรู้สึกเป็นกันเองกับผู้ชม จะได้รับความนิยมมากกว่าการใช้สีฉูดฉาดและตัวอักษรที่เขียนหวัดอ่านยาก

4. ออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายทั้งระบบโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ จะสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ทำให้ได้รับออเดอร์ตลอด 24 ชั่วโมงจากทุกมุมโลก และควรมี Chat Box เพื่อตอบคำถามอย่างรวดเร็วและสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยให้เว็บไซต์

5. การเชื่อมโยงลิงก์ของเว็บไซต์ภายนอกหลาย ๆ แห่งเข้ากับเว็บไซต์ธุรกิจของคุณ โดยการเข้าไปตอบคำถามหรือแนะนำสินค้าในเพจต่างประเทศที่รวมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณเข้าด้วยกัน เช่น คุณขายรองเท้าเพื่อสุขภาพ ก็ควรเข้าห้องแชทของชาวต่างชาติที่ใส่ใจสุขภาพ เช่น ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ เมื่อคุณแสดงความคิดเห็นทีเป็นประโยชน์ พร้อมกับแนบลิงก์เพื่อเข้าสู่เว็บไซต์หลักของคุณ ก็จะทำให้มีลูกค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นในธุรกิจของคุณอย่างแน่นอน

เทคนิคหนึ่งที่จะทำให้ขยายตลาดไปสู่กลุ่มลูกค้า

จะเห็นได้ว่า เทคนิคการทำ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้ลูกค้าจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องลงทุนมากอย่างการประชาสัมพันธ์วิธีอื่น ๆ ทั้งนี้ควรทำการศึกษาหลักการ SEO คู่กับการศึกษาพฤติกรรมการบริโภคของผู้ใช้งานเว็บไซต์ในต่างประเทศ ก็จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้ดียิ่งขึ้น

post

ทำความรู้จักกับ SEO ใครควรทำการตลาด SEO

หนึ่งในหลายปัจจัยที่จะทำให้การตลาดของคุณประสบความสำเร็จคือการใช้ SEO ซึ่งโดยปกติน้อยคนนักที่จะรู้จักและใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากแต่ใครกันที่จำเป็นต้องใช้งานมากที่สุด

การตลาด SEO มีความสำคัญอย่างไร ใครจำเป็นต้องใช้ ?

1. เว็บไซต์ที่ต้องการเพิ่มจำนวนคนเข้าชม ปัจจุบันการใช้งานเพื่อค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ผ่าน Google Search มีมากถึง 3,500 ล้านครั้งต่อวัน ซึ่งเป็นสถิติจาก WordStream ที่มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆทุกปี จึงทำให้โอกาสในการทำอันดับเว็บไซต์ของคุณที่ต้องการให้คนทั่วโลกได้เห็นคุณมีเป็นจำนวนมาก

2. ร้านค้าออนไลน์ที่ต้องการโอกาสในการขายสินค้า การทำเว็บ SEO เพื่อต้องการโปรโมทร้านค้านั้น ถือเป็นการทำที่เฉพาะเจาะจงให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายผ่านทาง Search Engine ที่ต้องการค้นหาคำหรือคีย์เวิร์ดนั้นๆ ย่อมมีโอกาสที่จะทำให้ลูกค้าค้นหาร้านค้าของคุณได้ในลำดับต้นๆ เมื่อมีคนเข้าชมเว็บของคุณมากขึ้น ก็มีโอกาสที่จะขายของได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

3. ผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เมื่อการทำ SEO ของคุณได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะค้นหาแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเงินไปโฆษณาในแหล่งอื่นๆ อีก โดยเฉพาะใน Search Engine ที่มีราคาแพงกว่า เพราะในปัจจุบันคนหันมาใช้การค้นหาออนไลน์ที่มากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นทีวีออนไลน์ วิทยุออนไลน์ หรือแม้แต่หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ก็ยังมีมาให้คุณได้ใช้งานผ่านโลกออนไลน์ได้ด้วย เพียงแต่ทำคีย์เวิร์ดให้ตรงตามกลุ่มและเป้าหมาย ก็สามารถที่จะทำการตลาดในระยะยาวได้แล้ว

4. ผู้ที่ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ เมื่อมีคนค้นหาข้อมูลผ่านตัว Search Engine ซึ่งโดยส่วนใหญ่คนที่ค้นหาก็เลือกที่จะเปิดข้อมูลเฉพาะหน้าที่โชว์ในลำดับต้นๆ เท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว ที่อย่างน้อยก็มีคนเห็นเว็บของคุณได้ขึ้นโชว์ในลำดับต้นๆของ Search Engine แม้ว่าจะไปคลิกเข้าไปแค่ดูข้อมูลก็ตามที

5. ผู้ที่ต้องการรายได้จากค่าโฆษณา เมื่อเว็บไซต์ของคุณสามารถทำให้ของคนทั่วโลกได้รู้จักได้ รับรองได้เลยว่าจะมีโฆษณาเข้ามาเพื่อให้คุณทำเงินได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะขอเช่าพื้นที่บนหน้าจอหรือขอฝากลิงก์ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถที่จะสร้างรายได้ให้คุณทั้งนั้น เพียงแต่คุณเองต้องคอยรักษาคุณภาพของบทความและเว็บไซต์ให้มีคุณภาพอยู่เสมอๆ หมั่นคอยอัปเดตข้อมูลที่ทางโฆษณาต้องการ ที่สำคัญในการเลือกโฆษณาที่จะลงบนเว็บคุณเอง ก็ต้องเลือกโฆษณาที่เป็นคุณภาพด้วย ไม่ใช่ใส่เยอะจนเกินไปสร้างความน่ารำคาญให้กับคนเข้าเว็บ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วยอดคนเข้าชมจะหายไปในพริบตา

การตลาด SEO มีความสำคัญอย่างไร ใครจำเป็นต้องใช้

สำหรับใครที่ต้องการจะหาโอกาสการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ ลองพิจารณาข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นดูว่าคุณเหมาะสมที่จะทำหรือไม่ ทำแล้วได้ผลดีอย่างไร เพราะถ้าได้ทำ SEO แล้วรับรองได้เลยว่าหากคุณขยันหมั่นตรวจสอบและอัปเดตข้อมูลภายในเว็บอยู่ตลอดเวลา จะทำให้ยอดผู้เข้าชม รายได้จากการขายสินค้าและอื่นๆ จะเข้ามาไม่ขาดสาย เพียงแต่เน้นที่คุณภาพในการทำเว็บไซต์เท่านั้นเอง

post

ความสำคัญและประโยชน์ของ keyword SEO

การประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ออนไลน์ให้เป็นที่รู้จักจะต้องมีการทำการตลาด ซึ่งวิธีที่นิยมมากในปัจจุบันก็คือ การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีในหน้าสืบค้นด้วย keyword ต่าง ๆ จากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

ซึ่งในการทำ SEO ต้องมีการใช้คีย์เวิร์ด SEO สำหรับการเขียนบทความที่มีคุณภาพ โดยการใช้คีย์เวิร์ดต้องมาจากการสืบค้นใน Google Search แล้วเลือกคำที่ตรงกับสินค้าและบริการที่มีในเว็บไซต์คุณ มาเขียนโดยให้กระจายอยู่ในบทความอย่างน้อย 2-3 แห่ง โดยคีย์เวิร์ด SEO สามารถแยกออกได้เป็น ประเภทต่าง ๆ ดังนี้

1. Niche Keyword เป็นคำค้นหาที่มีความเฉพาะเจาะจง จะพบกับเว็บไซต์ที่เน้นการขายสินค้าในหมวดหมู่นั้น ๆ เช่น มีการระบุชื่อรุ่นของโทรศัพท์มือถือ Notebook รองเท้ากีฬา เป็นต้น

2. Widely Keyword เป็นคำสั้น ๆ มักจะใช้กับการเขียนบทความ SEO ที่เป็นการให้ความรู้ทั่วไป เช่น โรงแรม ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว รองเท้าผู้ชาย เป็นต้น

3. Misspelling Keyword นั้นเกิดจากการสะกดผิด เช่น คำว่า Google ภาษาไทย เขียนเป็น กูเกิล และ กูเกิ้ล ซึ่งจะมีการใช้ทั้ง 2 แบบเขียนในบทความ เป็นต้น

4. Long-tailed Keyword เป็นคีย์เวิร์ดที่มีส่วนขยายความ ซึ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เช่น ร้านขายดอกไม้ออนไลน์โคราช รีสอร์ทแอนด์สปาเชียงใหม่ เป็นต้น เพราะว่าเป็นให้ผลการสืบค้นที่ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น

Keyword SEO สำคัญต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ เนื่องจากระบบอัลกอริทึ่มของ Search Engine อย่าง Yahoo , Google จะนำวิเคราะห์คุณภาพบทความจากการใส่ Keyword SEO โดยผู้เขียนบทความ SEO จะต้องระมัดระวังการใส่คีย์เวิร์ดที่ซ้ำมากเกินไป ทำให้เนื้อหาอ่านไม่รู้เรื่อง หรือมีการใช้คีย์เวิร์ดที่ยัดเยียดทำให้คนอ่านรู้สึกว่าบทความไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งจะส่งผลทำให้ผลการจัดอันดับเว็บไซต์ต่ำลง ซึ่งจะทำให้เสียโอกาสในการแข่งขันกับเว็บไซต์ของคู่แข่งรายอื่นที่ใช้คีย์เวิร์ดเดียวกัน

นอกจากคีย์เวิร์ด SEO จะใช้สำหรับการเขียนบทความแล้ว ผู้เชี่ยวชาญทางการตลาดออนไลน์ ยังแนะนำให้ใส่ในส่วนของชื่อเพจ URL Address หรือ ลิ้งค์เว็บไซต์ และส่วน Meta Description (ส่วนสรุปเนื้อหาของแต่ละหน้าเพจในเว็บไซต์) ชื่อของรูป ชื่อของคลิป ฯลฯ เพื่อเป็นการสะสมข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ ที่จะช่วยให้ผลการวิเคราะห์อันดับเว็บไซต์ดีขึ้นในระยะยาวด้วย

การทำเว็บไซต์ออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ มียอดผู้ชมเว็บไซต์และยอดขายที่ดี ต้องให้ความสำคัญกับการทำเว็บไซต์ที่สวยงามใช้งานง่าย และต้องสามารถใช้ Keyword SEO อย่างเหมาะสมด้วย จึงจะทำให้มีผลในการจัดอันดับการสืบค้นที่ดีใน Google และ Yahoo ซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและเพิ่มยอดขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ความสำคัญ ประโยชน์ของ keyword SEO

post

7 ศัพท์ควรรู้เมื่อต้องการดันอันดับเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก

ถ้าคุณเป็นมือใหม่ในการเริ่มทำ SEO คุณจำเป็นจะต้องรู้คำศัพท์ที่เอามาใช้กับการทำอันดับ ไม่งั้นคุณจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง มาดูกันเลยว่าทั้ง 7 คำนั้นมีอะไรบ้าง

1.SEO – คำนี้ควรจะเป็นคำแรกของทุกคนที่อยู่ในวงการต้องรู้จัก คำที่เราเรียกกันติดปากว่า “SEO” นั้น ย่อมาจาก “Search Engine Optimization” แปลตรงตัวคือ “กระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหา” คนไทยส่วนใหญ่จะรู้จักการทำ SEO เฉพาะแต่ในเว็บไซต์ Google แต่รู้หรือไม่ว่าเว็บไซต์ Yahoo หรือ Bing ก็มีระบบการค้นหาแบบนี้ให้บริการอยู่นานแล้วเหมือนกัน ซึ่งในบทความนี้จะกล่าวถึงเฉพาะ Google เท่านั้น

2.Keyword – ลำดับต่อมาคำศัพท์ที่เรามักพบเจอประจำนั้นคือคำว่า Keyword (คีย์เวิร์ด) เป็นคำที่ใช้เรียกแทนคำที่เราต้องการจะดันอันดับ เช่น หากคุณเปิดร้านขายมือถือ คุณต้องการทำอันดับคำว่า “มือถือ” ให้ขึ้นหน้าแรกของ Google คำว่า “มือถือ” นี่แหละที่เป็น Keyword ในการจัดทำอันดับ

3.Content – เมื่อเราได้คีย์เวิร์ดที่เราจะนำมาทำอันดับแล้ว คุณจะต้องมี Content (คอนเทนต์) ที่มีเนื้อหารองรับคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการ เพื่อให้ทาง Google รู้จักและเข้าใจว่าตอนนี้เว็บไซต์ของคุณต้องการดันอันดับคำว่าอะไรอยู่ เช่น เมื่อคุณขายมือถือและต้องการทำอันดับคำว่า “มือถือ” ในเว็บไซต์ของคุณก็ควรจะมีเนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่มีคำว่า “มือถือ” อยู่ด้วย

4.Traffic – คือจำนวนการเข้าเว็บไซต์จากผู้คนทั่วไปที่สนใจ คำว่า Traffic (ทราฟฟิค) มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าคำอื่น ๆ เพราะถ้ายิ่งทำให้มีคนเข้าหาเว็บไซต์ของคุณได้มากขึ้นเท่าไรและยังตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคีย์เวิร์ดด้วยล่ะก็ ทาง Google จะเข้าใจและยกอันดับเว็บไซต์ของคุณให้อยู่สูงขึ้นไปอีก

5.Sitemap – คำนี้หมายถึงโครงสร้างเว็บไซต์ที่คุณสร้างขึ้นมา Sitemap (ไซต์แม็พ) จะแสดงให้ Google เข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณมีหน้าอะไรบ้างและเกี่ยวข้องกันอย่างไรในแต่ละหน้า

6.Backlink – แบล็คลิงก์ ถือว่าเป็นคำที่มีความสำคัญแทบจะเรียกว่าที่สุดในยุคที่ผ่านมา เพราะเปรียบเสมือนป้ายโฆษณาที่เขียนชื่อหรือบริการของเว็บไซต์คุณแล้วนำไปติดระหว่างทาง ทำให้ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาได้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณทำอะไรและมีที่ตั้งอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในปัจจุบันจะมีความสำคัญลดลงขนาดที่ไม่จำเป็นต้องทำ เพียงแค่ทาง Google ลดความสำคัญลงไปบ้างเท่านั้นเอง

7.Black Hat SEO & White Hat SEO – เป็นการเรียกเปรียบเทียบระหว่างการทำ SEO แบบถูกต้องตามกฏของ Google หรือทำแบบผิดกฏเท่านั้นเอง แบ่งเป็น Black Hat (แปลว่า “หมวกดำ”) คือการทำ SEO โดยการใช้วิธีใด ๆ ก็ตามที่สามารถทำอันดับให้กับเว็บไซต์ได้โดยไม่คำนึงถึงกฏของ Google ส่วน White Hat (แปลว่า “หมวกขาว”) คือการทำ SEO โดยใช้วิธีที่ถูกต้องทำตามกฏของทาง Google 100%

ยังมีคำศัพท์อีกหลายคำที่มีความสำคัญกับการทำ SEO แต่หวังว่าใน 7 คำที่ได้นำเสนอในบทความนี้จะสามารถขยายความเข้าใจให้กับคุณได้มากขึ้นและช่วยให้การทำอันดับของคุณไม่หลงทาง

7 ศัพท์ควรรู้เมื่อต้องการดันอันดับเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก