post

SEO สายดำ ทำแล้วดีจริงหรือ

การทำ SEO เป็นเทคนิคในการทำให้เว็บไซต์ของธุรกิจ ติดอันดับหน้าหนึ่งบน Search Engine ซึ่งเทคนิคที่นักการตลาดออนไลน์ส่วนใหญ่ใช้จะเป็นการหา Keyword ที่มีกลุ่มเป้าหมายค้นหาเยอะแล้วนำมาเขียนเป็นบทความ SEO ที่มีจำนวนคำตั้งแต่ 300 คำขึ้นไป และต้องเป็นบทความที่มีสาระหรือเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน โดยต้องโพสต์เป็นประจำวันละ 1 บทความเป็นอย่างน้อยติดต่อกันประมาณ 1 – 2 เดือน ซึ่งหากการแข่งขันใน Keyword ที่นำมาใช้ไม่สูงเกินไปก็อาจทำให้ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine ได้ไวขึ้น

แต่สำหรับการทำ SEO ใน Keyword ที่มีการแข่งขันสูง เช่น กลุ่มคำเกี่ยวกับปัญหาผิวหน้า ผิวกาย หรือสัตว์เลี้ยง เป็นต้น การทำ SEO สายขาวอย่างข้างต้นอาจต้องใช้เวลานานกว่าจะติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine หรือไม่แน่ว่าอาจจะไม่มีทางสู้ ทำให้นักการตลาดออนไลน์หลายคนหันไปพึ่งการทำ SEO สายดำ เพราะช่วยให้การติดอันดับหน้าแรกบน Search Engine ได้เร็ว แม้จะต้องทำหลายอย่างที่เป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดของ Search Engine

วิธีการทำ SEO สายดำ (ที่ไม่ควรทำ) มีดังนี้

การทำ Backlink มากเกินไปในระยะเวลาอันสั้นอาจทำให้ Search Engine เห็นว่ามีการทำ SEO ที่มากเกินไป ซึ่งในครั้งแรกที่ถูก Search Engine ตรวจจับได้ Search Engine จะส่งข้อความเตือนเพื่อให้หยุดการกระทำดังกล่าว ซึ่งหาก Search Engine พบว่ายังมีอยู่เว็บไซต์ก็จะตกอันดับลงและถูกมองว่าเป็นเว็บไซต์ไม่น่าเชื่อถือ

การแลกลิงก์กับเว็บไซต์ที่ไม่ใช่เว็บที่มีเนื้อหาหรือ keyword ที่เกี่ยวข้องกัน เนื่องจากในปัจจุบัน AI บน Search Engine มีความฉลาดมากขึ้น ทำให้ตรวจจับการแลกลิงก์ได้เร็วขึ้น และหากพบว่ามีการแลกลิงก์กับเว็บไซต์ที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง เว็บไซต์ของเราจะถูก Search Engine มองว่าเป็นเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือและเป็นอันตราย

ใส่ keyword ในบทความมากเกินไปเพราะหวังว่าจะขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ ของเว็บไซต์ที่ทำ keyword นั้น ๆ แต่ด้วยความฉลาดของ AI ทำให้การแทรก keyword ที่มากเกินความจำเป็นและการเขียนเนื้อหาที่ไม่สามารถอ่านรู้เรื่องได้ จะทำให้เว็บไซต์ไม่น่าเชื่อถือ

แม้จะเป็นบทความของตัวเอง แต่การนำบทความเดิมมารีโพสต์บนเว็บไซต์ใหม่อาจทำให้กลายเป็นการลอกเลียนผลงานได้ ซึ่งหากต้องการที่จะนำบทความเดิมมาใช้ใหม่ ควรเรียบเรียงบทความใหม่หรือที่เรียกว่าการ Rewrite เพื่อป้องกันการที่ Search Engine มองว่าเว็บไซต์ใหม่นั้นเป็นเว็บไซต์ลอกเลียนที่ไม่ได้คุณภาพ

การแทรกลิงก์ในคำสำคัญที่มากเกินไปเพื่อให้ผู้ใช้ Click ไปยังหน้าซื้อสินค้าหรือบริการ ทำให้เว็บไซต์ถูกมองว่าเป็นเว็บที่ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน

โดยสรุปแล้วการทำ SEO สายดำไม่ได้ดีอย่างที่คิด เพราะแทนที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ อาจกลายเป็นร่วงจากอันดับและถูกมองว่าเป็นเว็บไซต์อันตราย หรือไม่ได้คุณภาพในที่สุด

SEO สายดำ ทำแล้วดีจริงหรือ

post

รวมเครื่องมือ SEO ฟรี! มีอะไรบ้าง

Search Engine เป็นเครื่องมือสากลของคนทั่วโลกที่ใช้สำหรับหาข้อมูลต่าง ๆ ที่อยู่บนโลกออนไลน์ทำให้นักการตลาดออนไลน์จำเป็นต้องมีความรู้เรื่อง SEO

SEO หรือ Search engine optimization เป็นวิธีสำคัญที่ช่วยเพิ่มผู้เข้าชมให้กับเว็บไซต์ได้มากและแน่นอน เนื่องจากสามารถช่วยให้เว็บไซต์ขึ้นสู่อันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาใน Search Engine ได้

มีนักการตลาดน้อยคน ที่จะมาบอกถึงว่าเครื่องมือใดบ้างที่จะช่วยให้การทำเว็บไซต์ SEO ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องมือ SEO ฟรี แต่ในบทความนี้เราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องมือ SEO ฟรี ที่จะช่วยให้การทำเว็บไซต์ SEO ง่ายขึ้น มีดังนี้

เครื่องมือ SEO ฟรี

Keyword Research – เป็นเครื่องมือหลักอันดับแรกที่นักการตลาดออนไลน์จะต้องมีไว้ เพราะเครื่องมือนี้จะช่วยให้บทความหรือเว็บไซต์ถูกหาเจอได้ง่ายมากขึ้น โดย Keyword Research มีหลายเว็บไซต์ที่ให้บริการฟรีและสามารถเลือก Keyword ภาษาไทยได้ เช่น Keyword Planner, Keyword.io หรือ neilpatel.com เป็นต้น ซึ่ง Keyword Research ส่วนใหญ่จะบอกจำนวนของการค้นหา, ความยากง่ายในการนำไปทำ SEO, ค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาด้วย Keyword นั้น ๆ เป็นต้น

Plagiarism Checker – เป็นเครื่องมือในการตรวจบทความซ้ำ เนื่องจากบทความที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นใหม่และไม่ซ้ำกับเว็บไซต์อื่นนั้น มีโอกาสจะได้รับการจัดอันดับจาก Search Engine ดีกว่า การใช้เครื่องมือนี้จึงใช้เพื่อเป็นการเช็คบทความว่าซ้ำกับใครหรือไม่ ก่อนการโพสต์ลงเว็บไซต์ แนะให้นำบทความไปเช็คเปอร์เซ็นต์การซ้ำของบทความก่อน หากมีส่วนที่ซ้ำ ก็นำผลการตรวจมาปรับและเรียบเรียงบทความใหม่

website.informer – เป็นเว็บไซต์สำหรับเช็คอายุโดเมน เพราะ Google จะมองความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์จากความใส่ใจของเจ้าของเว็บไซต์ผ่านอายุของโดเมน หลายคนเปิดเว็บไซต์มาเป็นเวลานานแต่ไม่เคยเช็คอายุของโดเมนจนปล่อยให้โดเมนหมดอายุ จึงทำให้ Google คัดเว็บไซต์ที่โดเมนหมดอายุไว้อันดับท้าย ๆ

mobile-friendly – ด้วยสมาร์ทโฟนเป็นอุปกรณ์ที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายและถูกใช้ในการเปิดเข้าดูข้อมูลต่าง ๆ บนเว็บไซต์เหมือนกับการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ความเร็วและสัดส่วนของเว็บไซต์ไม่ได้เหมาะกับการเปิดบนสมาร์ทโฟน ดังนั้นเพื่อให้การใช้งานเว็บไซต์บนมือถือเป็นไปอย่างราบรื่น การเช็คด้วย search.google.com/test/mobile-friendly ก่อนเผยแพร่เว็บไซต์ จะช่วยให้ทราบว่าควรปรับปรุงเว็บไซต์หรือไม่อย่างไร เพื่อให้สามารถเข้าชมผ่านสมาร์ทโฟนได้ง่ายและเร็วขึ้น

เช็คอัตราการเข้าเว็บไซต์ – แม้ว่าการทำเว็บไซต์ในปัจจุบันจะง่ายกว่าเมื่อก่อน แต่เว็บไซต์ที่ให้บริการสร้างเว็บไซต์ฟรีอาจไม่มีบริการเช็คอัตราการเข้าเว็บไซต์ (Traffic) โดย Traffic จะเป็นการบอกแนวทางเว็บไซต์ของว่ามาถูกทางหรือไม่ ซึ่ง neilpatel.com/ubersuggest/ ให้บริการเช็ค Traffic ฟรี โดยจะบอกทั้งอัตราการเข้าเว็บไซต์จากการทำ SEO โดยใช้ Keyword และอัตราการเข้าสู่เว็บไซต์โดยเฉลี่ยรายเดือน

เครื่องมือทั้งหมดนี้เป็นเครื่องมือฟรีที่จะช่วยให้นักการตลาดออนไลน์มือใหม่สามารถสร้างเว็บไซต์ที่มีคุณภาพด้วยตัวเองได้ ทั้งนี้การอัปเดตเทรนด์การทำ SEO ให้ติดกระแสอยู่เสมอ รวมถึงการเขียนบทความให้มีประโยชน์โดยใช้ Keyword ที่มีคุณภาพ จะทำให้เว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับที่ดีจาก Search Engine ได้

เครื่องมือ SEO ฟรี

post

จะเป็นนักเขียน SEO ต้องรู้อะไรบ้าง

การเป็นนักเขียน SEO เป็นอาชีพที่หลายคนใฝ่ฝันเพราะมีตลาดงานที่กว้าง สอดคล้องกับการทำ SEO หรือ search engine optimization ให้ธุรกิจยุคใหม่หลากหลายประเภท อันเป็นส่วนหนึ่งของเทคนิคการทำตลาดออนไลน์ที่นิยมมากในปัจจุบัน

งานนักเขียน SEO ต้องมีการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนไป แนวทางที่ Google กำหนดและเพิ่มเติมเรื่อย ๆ ในแต่ละปี เรามาดูกันว่าในปี 2020 นี้ การเป็นนักเขียน SEO ต้องทำอะไรบ้าง

นักเขียน SEO ต้องทำอะไรบ้าง

การกำหนดเนื้อหา บทความ SEO การใส่รายละเอียดในบทความ SEO จะต้องเข้ากับ keyword ที่สืบค้นหรือวิจัยมาแล้วว่าเหมาะสม ตรงกับการพิมพ์ในช่องสืบค้นหรือ google search ของลูกค้าเป้าหมาย และจะต้องเขียนโดยการวิเคราะห์ว่า ผู้อ่านต้องการที่จะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับอะไร เช่น หากคุณต้องการเขียนเรื่องมือถือรุ่นใหม่ที่ออกมา ก็ควรเข้าถึงมุมมองของผู้ที่กำลังมองหามือถือเครื่องใหม่ ว่าต้องการรู้ถึงรายละเอียดที่แตกต่างกับรุ่นเดิม ๆ ด้านใดบ้าง จึงจะทำให้บทความมีทางความน่าสนใจและตรงกับการค้นหาอย่างแท้จริง

การวางตำแหน่งของ keyword นอกจากผู้เขียนต้องใส่ keyword ในบทความแล้ว ยังต้องใส่อยู่ในองค์ประกอบด้านอื่น ๆ ให้ครบถ้วนด้วย เช่น

ส่วนของหัวเรื่องหรือ title เพื่อการดึงดูดใจให้คนอ่าน

ส่วนของ URL address ของบทความนั้น ๆ

ส่วนของ Meta Description หรือบทบรรยายสั้น ๆ ประมาณ 100 คำ ที่เป็นการแนะนำบทความกระตุ้นให้คนคลิกอ่านบทความฉบับเต็มในเว็บไซต์

ส่วนหัวข้อย่อยในบทความ เปรียบเหมือนสารบัญอย่างย่อ

การอธิบายรูปภาพประกอบบทความ ที่จะต้องใส่ keyword เดียวกับบทความด้วย โดยใส่ใน alt text จะทำให้ได้รับผู้ชมจากการค้นหารูปภาพที่ตรงประเด็นมากขึ้น

การศึกษาวิธีการทำทั้ง 5 จุดที่กล่าวมา จะทำให้เพิ่มโอกาสในการถูกสืบค้น และทำให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้นักเขียนได้รับการจ้างงานสม่ำเสมอยิ่งขึ้นนั่นเอง

ความเป็นธรรมชาติในเนื้อหาบทความ SEO แม้ว่าจะต้องมีการใส่ keyword ในจุดต่าง ๆ กระจายทั่วบทความ แต่ก็ไม่ควรที่จะซ้ำบ่อยเกินไป เทียบเป็นอัตราส่วน 2.5% หรือ 100 คำ จะมี keyword ไม่เกิน 3 ครั้งและต้องเลือกใช้ในประโยคอย่างเหมาะสม ไม่กระทบต่อการสื่อความหมายต่าง ๆ อันจะทำให้การสื่อสารผิดพลาดหรือรบกวนสายตาผู้อ่าน

ความสดใหม่ของบทความ เนื้อหาบทความ SEO ที่ดีต้องคิดและเขียนขึ้นใหม่ด้วยตัวเอง ไม่มีการคัดลอกจากแหล่งอื่น ๆ เพราะจะทำให้ระบบ algorithm ตรวจสอบได้ว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ จะทำให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์ที่นำบทความที่มีการคัดลอกไปใช้นั้น ถูกลดอันดับไปอยู่ด้านล่าง ๆ ได้

จะเห็นได้ว่า นักเขียน SEO จำเป็นต้องรู้หลักการในการทำอย่างเหมาะสม และพัฒนาตัวเองเสมอเพื่อให้ตอบโจทย์การทำธุรกิจออนไลน์ได้ดีที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีคอร์สสอนการทำ SEO อยู่มาก ควรที่จะศึกษาและลงเรียนในคอร์สที่มีวิทยากรมืออาชีพ จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น

จะเป็นนักเขียน SEO ต้องรู้อะไรบ้าง

post

SEO หัวใจสำคัญของการตลาดออนไลน์

เมื่อระบบการค้าขาย และการทำธุรกิจสมัยใหม่ เปลี่ยนมาอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ตามยุคดิจิทัล การทำตลาดจึงต้องมีเครื่องมือเฉพาะและแตกต่างไปจากวิธีการเดิม ๆ หากแต่อยู่บนพื้นฐานความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค หนึ่งในเครื่องมือหลักของการตลาดยุคดิจิทัลนั้น มีคำว่า SEO อยู่ด้วยแน่นอน

SEO เป็นคำย่อมาจาก Search Engine Optimization เป็นวิธีการที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ใน Search Engine ยอดนิยมอย่าง Google หรือ Bing เพื่อให้จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มตาม

ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากผู้คนบนโลกออนไลน์ได้ใช้ Search Engine โดยเฉพาะ Google เพื่อการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ตามความสนใจมากและบ่อย ไม่น้อยไปกว่า สื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook, Instagram และ Line ล่าสุดมีการรายงานข้อมูลว่าแต่ละวันจะมีคนค้นหาข้อมูลบน Google มากกว่า 3,500,000,000 ครั้ง หรือ 40,000 ครั้ง/วินาที ทั้งการหาข้อมูลสำหรับซื้อสินค้า,ข้อมูลร้านอาหาร ท่องเที่ยว และการจ้างงาน เว็บไซต์ที่สามารถแสดงข้อมูลเป็นอันดับต้น ๆ ของ Googleได้ จึงถือเป็นเว็บไซต์ที่มีจำนวนผู้เข้าชมเป็นจำนวนมหาศาลด้วยเช่นกัน หากจะให้เห็นภาพชัด ๆ ก็คงเปรียบได้กับเป็นร้านค้าที่อยู่ในทำเลทอง มีคนเดินผ่านไปมาตลอดเวลา ซึ่งทำให้ผู้คนเหล่านี้ได้เห็นสินค้าโดยไม่ต้องทำโฆษณาเลย

แล้วเจ้าของเว็บไซต์ควรทำ SEO อย่างไร ?

คำตอบง่าย ๆ คือต้องทำเว็บไซต์ให้ตรงตามเกณฑ์การของ Google ให้มากที่สุด โดยผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าสิ่งที่ Googleให้ความสำคัญมากเป็นลำดับต้น ๆ คือเรื่อง เนื้อหา โครงสร้างและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ โดยมีคำแนะนำถึงวิธีการและ เทคนิค SEO เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมคุณภาพให้กับเว็บไซต์ หลายเรื่องได้แก่

คีย์เวิร์ด (Keyword) ถือเป็นหัวใจสำคัญของเนื้อหาที่ปรากฏบนเว็บไซต์ คีย์เวิร์ด จะต้องสามารถสื่อความหมายได้อย่างชัดเจนว่าเว็บไซต์นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร และจำเป็นต้องระบุคีย์เวิร์ดในจุดต่าง ๆ ของเนื้อหาอย่างเหมาะสม

ความเร็ว ในการเปิดเนื้อหาเว็บไซต์ (Speed) ต้องมากพอ เนื่องจาก ผู้คนให้ความสำคัญกับการเปิดเนื้อหาเว็บไซต์ที่มีความรวดเร็วมากกว่า เรื่องของความเร็วนี้ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Google นำมาใช้คำนวณการจัดลำดับตำแหน่งผลการค้นหาเว็บไซต์ด้วย

ต้องรองรับการทำงานของแท็บเล็ตและ มือถือ (Responsive) เพราะทั้งสองอย่างนี้เป็นช่องทางการค้นหาเว็บไซต์และข้อมูลที่เติบโตอย่างรวดเร็วกว่าการค้นหาผ่านคอมพิวเตอร์

สร้างความเด่นให้กับรูปภาพ (Image) เนื่องจากมีการค้นหารูปภาพผ่าน Google มากขึ้น เจ้าของเว็บไซต์จึงต้องหาวิธีการช่วยให้รูปภาพเป็นที่รู้จักด้วย รูปภาพที่นำมาใช้บนเว็บไซต์ควรมีขนาดเหมาะสมกับพื้นที่ และควรใช้นามสกุลของรูปภาพให้ทันสมัย

นอกจากนี้ การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับเว็บไซต์ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัย (Security) ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ Google ให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะการมีระบบป้องกันการเข้าโจมตีของแฮกเกอร์ (Hacker)

เทคนิคและเคล็ดลับของ SEO เหล่านี้ หากถูกนำไปใช้อย่างเหมาะสมก็จะทำให้ตำแหน่งการค้นหาเว็บไซต์ใน Search engine อยู่ในลำดับต้น ๆ ได้ไม่ยาก

แล้วเจ้าของเว็บไซต์ควรทำ SEO อย่างไร

post

ข้อดีและข้อจำกัดเกี่ยวกับ SEO ที่ทุกคนควรรู้

SEO หรือ search engine optimization เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คนทำเว็บไซต์รุ่นใหม่ศึกษา และพัฒนาให้อันดับในการสืบค้นผ่าน Google ดีขึ้น เพื่อได้ผลลัพธ์ที่ดี คือ เพิ่มยอดขายและทำให้มีลูกค้ามากขึ้นต่อเนื่อง

แต่การทำ SEO ก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ซึ่งเราได้รวบรวมมาฝากกัน เพื่อให้ทุกท่านได้เข้าได้และคาดหวังผลได้ถูกต้องก่อนการเริ่มทำ ดังนี้

1. การทำ SEO ไม่จำเป็นต้องจ้าง

การทำ SEO สามารถเรียนรู้ทำได้ด้วยตนเองโดยการอ่านจากหนังสือเข้าคอร์สและเรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรง จะทำให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างบริษัทเอกชนได้ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเปิดร้านค้าออนไลน์ที่มีต้นทุนน้อย ควรลดต้นทุนให้มากที่สุด

แต่หากเป็นเว็บไซต์ใหญ่ ๆ หรือเจ้าของกิจการที่ต้องทำงานหลายอย่างพร้อม ๆ กัน เช่น การบริหาร การวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ฯลฯ ก็อาจเลือกจ้างทำ SEO ถ้าประเมินแล้วคุ้มค่าเวลามากกว่า

2. จ้างโฆษณา SEM เสริมได้

การทำโฆษณา SEM หรือ search engine Marketing เป็นการประมูลพื้นที่โฆษณาในหน้าผลการค้นหาของ Google ให้ปรากฏในอันดับต้น ๆ และต้องมีการประมูลพื้นที่ระหว่างหลาย ๆ เว็บไซต์ที่ต้องการใช้ keyword เดียวกัน เป็นสิ่งที่ควรทำเสริมกับ SEO เฉพาะช่วงที่มีโปรโมชั่นสินค้าใหม่ ๆ ที่ต้องการกระตุ้นยอดขาย โดยประเมินแล้วว่ารายได้จะคุ้มค่ากับรายจ่ายนี้

อย่างไรก็ตาม แม้จะทำ SEO อย่างเดียว เว็บไซต์คุณก็มีอันดับที่ดีและมียอดขายสูงได้ เพียงอาศัยความสม่ำเสมอในการทำ หากคุณเป็นบริษัทที่มีงบประมาณน้อย ไม่ต้องการลงทุนมาก แนะนำให้ทำ SEO เป็นหลักจนเข้าใจภาวะเสถียรของการตลาดออนไลน์ในสายธุรกิจตัวเอง หากมีงบประมาณเหลือจึงค่อยทำ SEM เสริม

3. ต้องใช้ระยะเวลาสะสมข้อมูล

การทำ SEO ต้องให้ระบบ algorithm ของ Google มาเก็บข้อมูลสำรวจเป็นระยะ โดยต้องเข้าไปใน Google search Console ลงทะเบียนยืนยันตัวตนและแจ้งโดเมนที่ต้องการให้ Google มาเก็บข้อมูลก่อน

การทำ SEO ต้องอาศัยระยะเวลาเห็นผลโดยเฉลี่ย 3 ถึง 6 เดือนสำหรับธุรกิจทั่วไป และอาจมากถึง 1 ปี สำหรับธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง เพื่อให้อันดับ average position เปลี่ยนแปลง ต่างจากการจ้างทำโฆษณาซึ่งเห็นผลในช่วงไม่กี่วัน

4. เสริมภาพลักษณ์ธุรกิจ

การทำ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์คุณดูทันสมัยและมีเอกลักษณ์ขึ้น เนื่องจากต้องมีการทำทั้งโครงสร้างเว็บไซต์ให้สวยงามใช้ง่าย ในระบบโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ การเชื่อมโยงลิงก์กับเพจหรือเว็บไซต์อื่น ๆ การใส่เนื้อหาที่มี keyword น่าสนใจตรงกับการสืบค้น ฯลฯ

การปรับปรุงองค์ประกอบเหล่านี้อยู่เสมอ จะทำให้แบรนด์ดูทันสมัยและมียอดขายที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนด้วย

จะเห็นได้ว่า SEO มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด การเรียนรู้ให้เข้าใจหลักการและนำมาพัฒนาเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับการทำการตลาดรูปแบบอื่น ๆ จะทำให้คุณมีโอกาสประสบความสำเร็จในธุรกิจมากยิ่งขึ้นได้

การทำ SEO ก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด

post

การติดตั้งและใช้งาน Rank Math SEO

Rank Math SEO จัดเป็น plugin ใหม่ที่กำลังมาแรงได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้พัฒนาเว็บไซต์คนรุ่นใหม่มากขึ้น เพราะสามารถตอบโจทย์ ใช้แทน Yoast SEO เวอร์ชั่นฟรีได้ และยังสามารถทำงานในฟังก์ชันต่างๆ ที่หลากหลายได้ยิ่งขึ้น ได้แก่ การมีคุณสมบัติส่งเสริมกับ WooCommerce ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์รุ่นใหม่ ที่ต้องการระบบในการจัดหมวดหมู่ ประเภทสินค้า การคิดคำนวณราคาค่าจัดส่ง และการหักค่าใช้จ่ายลูกค้าแบบต่างๆ ได้อย่างละเอียด นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อผิดพลาดที่เรียกว่า 404 Error ได้เป็นอย่างดี

วิธีการติดตั้ง Rank Math SEO

การติดตั้ง Rank Math SEO สามารถทำได้ง่ายๆ โดยคลิกเข้าไปที่ https://Wordpress.org/plugins/seo-by-rank-math/ จะทำให้ดาวน์โหลดปลั๊กอิน เพื่อใช้งานกับ WordPress ได้ในทันที

โดยหลังจากการติดตั้งแล้ว ให้เลือกตั้งค่าให้ Activate หลังจากนั้นระบบ Rank Math SEO จะให้คุณเลือกว่าจะให้ input หรือนำเข้าข้อมูลจาก plugin ชนิดใดให้คุณเลือกจากที่เคยใช้อยู่ เช่น Yoast SEO ที่คนส่วนใหญ่รู้จัก

หลังจากนั้น ให้กดปุ่ม Continue เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป ซึ่งจะต้องใส่ข้อมูลเว็บไซต์ของคุณ เพื่อให้ระบบทำการวิเคราะห์ได้ รวมถึงเลือกภาพหรือโลโก้ ที่จะให้ระบบไว้ใช้งาน เวลาที่มีการโพสต์บทความต่าง ๆ ขึ้นใน Google ซึ่งแนะนำว่าขนาดของภาพควรอยู่ที่ 160×90 ถึง 1920×1080 พิกเซล จึงจะเป็นขนาดความละเอียดที่เหมาะสม

กรณีที่คุณต้องการใช้งาน Google search Console ก็สามารถตั้งค่าให้เชื่อมต่อได้ ซึ่ง Google search Console เป็นตัวที่ช่วยวิเคราะห์ว่าเว็บไซต์ของคุณมีผลการทำ SEO อย่างไรบ้าง มีค่า CTR หรือสัดส่วนการคลิกของผู้เข้าชมมากน้อยเพียงใด รวมถึงเช็คว่าระบบของคุณมีการเก็บข้อมูลด้าน SEO ไปโดยระบบ algorithm ของ Google หรือยัง ในส่วนนี้ สามารถตั้งค่าได้ตามที่ต้องการโดยการคลิกที่ปุ่ม get authorization Code แล้วทำตามที่ระบบขึ้นข้อความ

ฟังก์ชั่นพิเศษที่ต่างจาก Yoast SEO คือ ความสามารถในการตรวจจับความผิดพลาดที่เรียกว่า 404 Monitor นั้น นับว่าเป็นคุณสมบัติที่เด่นชัดของ Rank Math SEO ที่สามารถปรับค่าแก้ไขให้ redirect ไปที่ URL ที่ต้องการได้ โดยกำหนดได้ด้วยตัวเองว่าเป็นการย้ายแบบชั่วคราว หรือถาวร เรียกว่าเป็นฟังก์ชั่นที่ช่วยประหยัดเวลาของผู้พัฒนาเว็บไซต์ได้เป็นอย่างมาก โดยไม่จำเป็นต้องเปิดผ่าน Google search Console แนะนำว่าฟังก์ชันนี้ควรตั้งให้ขึ้น On ทำงานไว้เสมอ

จะเห็นได้ว่า Rank Math SEO มีคุณสมบัติหลากหลายด้านที่ตอบโจทย์การทำเว็บไซต์ SEO ซึ่งยังมีการพัฒนา plugin อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์การทำธุรกิจออนไลน์ในยุค 5.0 ซึ่งนักพัฒนาเว็บไซต์ควรเรียนรู้การใช้งาน plugin อย่างคุ้มค่า เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านได้รู้จัก Rank Math SEO มากขึ้น และนำไปต่อยอดทำเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นต่อไป

วิธีการติดตั้ง Rank Math SEO

post

หา keyword อย่างไรให้เว็บไซต์ SEO มีอันดับ

การใช้ keyword ที่เหมาะสมในการทำบทความให้เว็บไซต์ SEO เป็นสิ่งที่จะต้องใส่ใจมาก เนื่องจาก keyword คือหัวใจของการผลิตบทความ หากเลือกคำที่ตรงกับการค้นหาของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจริง ๆ จะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสาร เชื่อมโยงสู่โอกาสในการสร้างแบรนด์ รวมถึงเพิ่มยอดขายสินค้าและบริการตามมาได้ การเลือก keyword จึงจำเป็นต้องดูเทคนิคแบบมืออาชีพ ดังนี้

ค้นหา keyword SEO คุณภาพอย่างไร

การหา keyword SEO ตามระบบ search engine optimization ที่ Google มีมาตรฐานในการคัดกรองคุณภาพของเว็บไซต์นั้น โดยทั่วไปสามารถหาได้จากวิธีที่ง่าย สะดวกและรวดเร็วที่สุด คือ การลองพิมพ์ด้วยตัวเองในช่อง Google Search เกี่ยวกับสินค้า เช่น หากคุณทำเว็บไซต์เพื่อขายเฟอร์นิเจอร์ ก็สามารถที่จะลองพิมพ์ใน ช่อง Google Search ดังกล่าว จากนั้นจะพบว่าระบบแสดงตัวอย่างคำแบบอัตโนมัติ เช่น คำว่า เฟอร์นิเจอร์ ชลบุรีเฟอร์นิเจอร์ไม้ เฟอร์นิเจอร์ มือสอง เฟอร์นิเจอร์ห้องนอน ฯลฯ คำเหล่านี้ คือ คำที่มีการใช้ค้นหาจริงในกลุ่มคนไทย ที่ต้องการหาเฟอร์นิเจอร์ไว้ในบ้าน

จากนั้นก็เลือกคำที่เหมาะสมกับสินค้าและบริการที่มีอยู่ เพื่อไปผลิตบทความ SEO ได้ต่อไป หรืออาจใช้การสังเกตจากคำแนะนำในด้านล่างของการค้นด้วย Google search ที่เรียกว่า Google related search จากที่เราพิมพ์คำลงไปแล้ว จะมีตัวอย่างคำต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ที่ด้านล่างสุดของหน้าจอ เช่น เฟอร์นิเจอร์ มินิมอล สไตล์ แนะนำ แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ เฟอร์นิเจอร์ สวย ลดราคา ฯลฯ คำเหล่านี้ก็สามารถนำมาผลิตบทความที่ไม่ซ้ำใคร ก็จะได้รับความดึงดูดใจจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

นอกจาก วิธีการแบบพื้นฐานที่กล่าวมาแล้ว ยังสามารถใช้เว็บไซต์ Ubersuggest ในการวิเคราะห์ โดยอ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ชั้นนำอันดับ 1-10 ต้น ๆ ในหน้าแรกของการสืบค้นด้วย Google search ว่ามีค่า Traffic หรือค่า CTR (Click through Rate) หมายถึงอัตราจำนวนครั้งของการคลิกเข้ามาชมต่อจำนวน 100 ครั้งที่มองเห็นในหน้าผลการค้นหา โดยแสดงผลแยกกันแต่ละ keyword ซึ่งหาก keyword ได้รับความนิยมสูง ก็สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างบทความ SEO โดยคาดหวังผลลัพธ์สูงได้ ว่าจะได้รับความนิยมมากเช่นเดียวกันกับเว็บไซต์ชั้นนำเหล่านั้น

หากเข้าไปชมในเว็บไซต์ Ubersuggest จะสังเกตได้ง่าย ๆ ว่าจะมี keyword ที่เป็น long tail keyword คือ keyword ที่มีความยาวและจำเพาะเจาะจงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่มีค่า traffic และ CTR สูง เช่น คำว่า เฟอร์นิเจอร์ มือสอง ญี่ปุ่น, เฟอร์นิเจอร์ ห้องนอน ราคาถูก, เฟอร์นิเจอร์ สวย ๆ ราคาถูก เป็นต้น ซึ่งการใช้ข้อมูลทางสถิติเหล่านี้และตัวอย่างจากผลการวิเคราะห์ของระบบมาช่วยในการเลือก keyword SEO ก็สามารถทำให้ได้บทความที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่าวิธีในการเลือก keyword มาใช้ในบทความ SEO มีอยู่หลายวิธี หวังว่าเทคนิคที่นำเสนอข้างต้น จะเป็นประโยชน์ต่อคนทำเว็บไซต์ SEO ในการเสริมสร้างความสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์มากยิ่งขึ้น

หา keyword อย่างไรให้เว็บไซต์ SEO มีอันดับ

post

ทำไมจึงควรทำ SEO ตั้งแต่เนิ่นๆ ที่เปิดเว็บไซต์

SEO เป็นเทคนิคที่นักการตลาดชั้นนำแนะนำให้ผู้ที่กำลังคิดเปิดเว็บไซต์ที่เป็นคนรุ่นใหม่ยุค 2019 ทำตั้งแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการได้มากยิ่งขึ้น เสริมอำนาจในการแข่งขันทางการตลาดได้สูงเทียบเคียงกับเว็บไซด์ที่เปิดมานานนับ 10 ปี ขอเพียงมีความสม่ำเสมอในการทำ SEO เท่านั้น

การทำ SEO Search Engine Optimization ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ

1. On-Page SEO เป็นการออกแบบและปรับปรุงโครงสร้างภายในเว็บไซต์และองค์ประกอบต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ได้แก่

การผลิตบทความที่ใช้ Keyword เหมาะสม ไม่ใส่เกิน 3-4 Keyword ต่อหนึ่งเรื่องโดยมีการกระจายอยู่ในส่วนต่าง ๆ ที่ทำให้บทความอ่านแล้วธรรมชาติ ที่สำคัญ คือ ต้องมีความทันสมัยในเนื้อหา และไม่มีการละเมิดลิขสิทธิ์จากเพจอื่น อันทำให้บทความนั้นกลายเป็นสแปม (Spam) ที่ทำให้อันดับ SEO ร่วงลงไปได้

การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ง่าย ทั้งในหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีการวิจัยว่า ผู้บริโภคยุคใหม่ใช้โทรศัพท์มือถือในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ผู้ที่กำลังคิดทำเว็บไซต์ในปีนี้ จึงควรคิดและใส่ใจองค์ประกอบด้านนี้ให้มาก

การคิดโลโก้และสีธีมที่จะใช้ประจำเว็บไซต์ ควรจะสื่อสารถึงแบรนด์ที่ชัดเจน เช่น คุณผลิตสินค้าที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ ก็ควรจะใช้สีประจำเพจ เป็นสีน้ำตาล สีครีม สีเขียว ที่สื่อสารถึงความปลอดภัย ไร้สารพิษ เป็นต้น

2. Off-Page SEO เป็นการเชื่อมโยงเว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณ เข้ากับเว็บไซต์ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่ขายสินค้าในหมวดที่เชื่อมโยงกันได้ เช่น คุณขายผลิตภัณฑ์จำพวกของใช้เด็ก ก็สามารถเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนลิงก์กับเว็บไซต์ที่ขายสินค้าสำหรับแม่ตั้งครรภ์ ของเล่นเด็ก อาหารเพื่อสุขภาพ ฯลฯ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังสามารถแนะนำข้อมูลที่มีประโยชน์แก่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ที่รวมตัวกันในห้องแชทต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสนใจในการดูแลสุขภาพด้วยการเลือกบริโภคน้ำสะอาด และน้ำผักผลไม้สดยิ่งขึ้น กรณีที่คุณขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น เครื่องกรองน้ำ เครื่องปั่นน้ำผลไม้ เครื่องสกัดแยกกากผักผลไม้ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า เทคนิคการทำ SEO เป็นสิ่งที่สามารถเริ่มได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ในการออกแบบพัฒนาเว็บไซต์ เพื่อให้ไม่ต้องแก้ไขในภายหลัง อันจะเป็นการเสียโอกาสในการแข่งขันกับธุรกิจรายอื่น ทั้งยังเป็นวิธีที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาให้ Search Engine แม้แต่บาทเดียว

หวังว่าบทความนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกท่านที่ต้องการเปิดเว็บไซต์ทำธุรกิจออนไลน์ และให้ความสำคัญกับการทำ SEO ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นยิ่งขึ้น เพื่อให้ประสบความสำเร็จทั้งด้านยอดขายและมีลูกค้าประจำเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว

Off Page SEO เป็นการเชื่อมโยงเว็บไซต์

post

ทำไมการทำ Meta description จึงสำคัญต่อการทำเว็บไซต์ SEO

การทำเว็บไซต์ SEO หรือ ทำตามระบบ search engine optimization ที่ Google กำหนด เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากระบบ algorithm ของ Google จะวิเคราะห์คุณภาพของเว็บไซต์และจัดอันดับให้อยู่ด้านบนในหน้าต่างการนำเสนอ เมื่อมีการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดหนึ่ง ๆ จึงมีโอกาสที่จะขายสินค้าและบริการได้มากกว่าเว็บไซต์อื่น ๆ

meta description สำคัญอย่างไร

การทำ meta description ที่เหมาะสม ยังเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการทำให้เว็บไซต์ SEO สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ดี เพิ่มอัตราการคลิกเข้ามาชมข้อมูลเพิ่มในเว็บไซต์ และเพิ่มยอดขายสินค้าได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจาก meta description เป็นการสรุปความของเนื้อหาเพจ ที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายสามารถใช้เวลาอ่านเพียงไม่กี่วินาที เพื่อการประเมินว่าควรคลิกเข้ามาอ่านข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียดเพิ่มเติมในเพจหรือไม่

หากเว็บไซต์ใดที่ปฏิบัติตามหลัก SEO ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงในส่วนโครงสร้าง การทำ link เชื่อมโยงเพจ การผลิตบทความที่มีคุณภาพ แต่ไม่ได้ทำ meta description ก็เท่ากับขาดส่วนสำคัญในการดึงดูดใจลูกค้า

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเว็บไซต์จำนวนมาก ที่ใช้เทคนิคการผลิตบทความที่มีการซ้ำคัดลอกหรือมีเนื้อหาที่เป็นการขายสินค้ามากจนเกินไป ซึ่งทำให้ผู้ใช้บริการไม่ประทับใจและรู้สึกว่ากำลังเสียเวลาในการอ่านข้อมูล การมีส่วน meta description ที่จะแสดงทุกครั้งใต้ส่วน title หรือ หัวเรื่อง เมื่อลูกค้าพิมพ์ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ด ใน Google search จะทำให้ลูกค้าเห็นข้อมูลสรุปก่อนที่จะคลิกเข้ามา เท่ากับช่วยลดความเสี่ยงในการต้องเสียเวลากับเว็บไซต์ที่คุณภาพต่ำmeta description สำคัญอย่างไร

บริษัทรับจ้างทำ SEO หรือ นักเขียนงานแนว SEO จึงควรทำส่วน meta description ที่มีคุณภาพ มีคีย์เวิร์ดตรงกับในบทความและหัวข้อที่นำเสนอ เพื่อแสดงถึงความจริงใจและความซื่อสัตย์ต่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย อันเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ สร้างความทันสมัยให้แก่เว็บไซต์ และทำให้มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคลิกเข้ามาอ่านข้อมูลสินค้าและบริการ ทั้งเลือกซื้อสินค้าที่จำหน่ายมากยิ่งขึ้น

ส่วน meta description ควรจะจำกัดความยาวให้อยู่ที่ประมาณ 150 คำ เนื่องจากวัตถุประสงค์ในการทำ คือ เป็นการสรุปความที่ลัดสั้น จึงควรมีความกระชับ ตรงประเด็น และใช้ภาษาที่เป็นทางการเชื่อถือได้ให้มากที่สุด จะทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมั่นใจได้ว่าข้อมูลในเว็บไซต์จะตรงกับสินค้าและบริการที่กำลังมองหา ขณะเดียวกันก็จะทำให้อันดับของ SEO จากระบบ algorithm วิเคราะห์ได้ดียิ่งขึ้น (หากความยาวมากเกินไป จะเป็นผลลบต่อการจัดอันดับ SEO แทน)

จะเห็นได้ว่า ส่วน meta description มีความสำคัญ ควรทำโดยผู้มีความชำนาญ เพื่อให้ลูกค้าเป้าหมายเข้าใจประเด็นที่ต้องการสื่อสารได้ดี และช่วยดึงดูดใจให้คลิกเข้ามาชม เพื่อส่งเสริมอันดับ SEO เพิ่มค่า traffic และเพิ่มยอดขายสินค้าและบริการให้มากยิ่งขึ้น