post

รู้จัก “คีย์เวิร์ด” SEO 7 ประเภท ช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์

สำหรับคนที่เป็นนักทำคอนเทนต์หรือเขียนบทความออนไลน์น่ารู้จักเทคนิคการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization กันไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะความสำคัญของการใช้ “คีย์เวิร์ด” (Keyword) ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับดี ๆ บนหน้าการค้นหาของ Search Engine ต่าง ๆ

สำหรับวันนี้ เราก็จะไปทำความรู้จัก คีย์เวิร์ด” SEO 7 ประเภท ที่จะช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์

  1. คำนามสั้น (Short-tail Keyword)
    การใช้คำนามสั้น (Short-tail Keyword) เป็นคำที่ไม่มีความเฉพาะเจาะจง ส่วนใหญ่มักเป็นคำที่มีความหมายกว้าง ๆ ระบุชื่อสิ่งของ ชื่อคน หรือชื่อสถานที่ ซึ่งคำประเภทนี้มักมีจำนวนผู้คนหามากที่สุด ทำให้เป็นคำที่มีคู่แข่งเยอะตามไปด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่าง รองเท้า, กระเป๋า, รถจักรยาน ฯลฯ
  2. คำนามยาว (Long-tail Keywords)
    การใช้คำนามยาว (Long-tail Keywords) เป็นคำที่ช่วยเพิ่มความเฉพาะเจาะจงให้มากขึ้น ช่วยจำกัดขอบเขตการค้นหาให้แคบลงด้วยการบอกลักษณะหรือจุดเด่นต่าง ๆ ต่อท้าย เช่น รองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่ง, รองเท้านักเรียน, กางเกงขาสั้นผู้หญิง เป็นต้น
  3. คำกลาง ๆ ที่เนื้อหาตายตัว (Long-term evergreen keyword)
    คำกลาง ๆ ที่เนื้อหาตายตัว (Long-term evergreen keyword) เป็นคำลักษณะกลาง ๆ ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็จะมีคนค้นหาใน Search Engine ด้วยคำเหล่านี้เสมอ ข้อมูลของเนื้อหาที่เกี่ยวกับคำประเภทนี้ค่อนข้างจะตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ยกตัวอย่าง แบบฝึกหัดคณิตศาสตร์, ประโยชน์ของวิตามินซี, ประวัติศาสตร์กรุงเทพฯ เป็นต้น
  4. คำนามสั้น ๆ ที่เป็นกระแส (Short-term fresh keyword)
    คำนามสั้น ๆ ที่เป็นกระแส (Short-term fresh keyword) หมายถึงคำสั้น ๆ ที่กำลังเป็นกระแสในสังคมขณะนั้น อาจจะเป็นคำที่เป็นไวรัลในสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น ส้มหยุด, เที่ยวทิพย์, พระมหาเทวีเจ้า ฯลฯ หรือเป็นคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับคน, ข่าวการเมือง หรืออาชญากรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้นก็ได้เช่นเดียวกัน โดยสามารถสังเกตจากสื่อโซเชียลว่าคำไหนที่ติดเทรนด์ในช่วงนั้น
  5. คำระบุลักษณะเด่นของลูกค้า (Customer defining keyword)
    คำลักษณะเด่นของลูกค้า (Customer defining keyword) เป็นการนำลักษณะเด่นของลูกค้ามาใช้ร่วมกับคำประเภท Short-tail Keyword ทำให้เกิดคีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจง เช่น กางเกงผู้หญิงอวบ, รองพื้นผิวแทน, ทรงผม สาวผมหยักศก เป็นต้น
  6. คำลักษณะเด่นของสินค้า/บริการ (Product defining keyword)
    ลักษณะเด่นของสินค้า/บริการ (Product defining keyword) เป็นคำที่นำลักษณะเด่นของสินค้าหรือบริการมาใช้ในการทำ SEO เช่น ยี่ห้อ, รุ่น, ลักษณะ ฯลฯ ยกตัวอย่าง โฮสเทลกรุงเทพ ราคาถูก, กองทุน ABC ผลตอบแทนสูง, รองเท้าผ้าใบ (ชื่อแบรนด์) ใส่สบาย เป็นต้น โดยลักษณะของคำประเภทนี้ที่ดีควรเป็นคำที่มีการค้นหาพอประมาณ มีคู่แข่งน้อย มีความเฉพาะเจาะจงสูง
  7. คำระบุตำแหน่งที่ตั้ง Geo-targeting keyword
    คำระบุตำแหน่งที่ตั้ง (Geo-targeting keyword) เป็นการบอกตำแหน่งที่ตั้งต่อท้ายคำประเภท Short-tail Keyword ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเฉพาะเจาะจง และจำกัดขอบเขตการค้นหามากขึ้น อีกทั้งยังสามารถดึงดูดความสนใจจากลูกค้าในพื้นที่มากขึ้นด้วย เช่น ร้านอาหารทะเล มหาชัย, โรงแรมแถวมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ร้านกาแฟวิวสวยปาย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับอัลกอริทึมของ Search Engine ต่าง ๆ เช่น Google ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อหลายปีก่อนมาก ผู้ทำ SEO จึงต้องค้นคว้าหาคีย์เวิร์ดที่ตรงใจผู้ใช้ โดยสามารถเริ่มต้นจากไอเดียคีย์เวิร์ดทั้ง 7 ประเภทข้างต้น ก็จะสามารถต่อยอดในการผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นที่สนใจของผู้ชมได้ดียิ่งขึ้น

post

แนวคิดทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับ ยอดขายพุ่ง

หากว่ากันถึงเรื่อง SEO เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินกันมาบ้าง เนื่องจาก SEO นั้นเป็นสิ่งที่หลาย ๆ เว็บไซต์นำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณสมบัติ คุณลักษณะต่าง ๆ ที่มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ดังนั้น หากว่าเรามีการเปลี่ยนแปลง พัฒนาเว็บไซต์ของแบรนด์ สินค้าและธุรกิจของเราด้วยการทำ SEO แล้วล่ะก็ เชื่อได้ว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจของเราในระยะยาวอย่างแน่นอน

มาเริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักกับ SEO กันก่อน การทำ Search Engine Optimization หรือ SEO เป็นการปรับแต่งโครงสร้าง ภาพลักษณ์ของเว็บไซต์ การปรับแต่งโค้ดต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ รวมถึงการการปรับแต่งความรวดเร็วในการที่จะเข้าถึงเว็บไซต์ของเรา ในส่วนของรายละเอียด รูปแบบ ในเนื้อหาที่เราจะนำไปใส่ในเว็บไซต์ของเรา ให้มีความถูกต้องเหมาะสม มีลักษณะต่าง ๆ ที่แสดงอยู่บนหน้าเว็บไซต์ ตรงกับความต้องการของเว็บ Search Engine ที่ต้องการให้ทำเป็นมาตรฐานเหมือนกันทั่วโลก

ประโยชน์ที่มากมายของ SEO ทำให้เราสามารถยกอันดับเว็บไซต์ของเราให้อยู่ในหน้าการค้นหาที่ดีขึ้น อย่างที่เรามักจะพบเห็นการพิมพ์ การกดค้นหาด้วยคำต่าง ๆ เช่น การค้นหาเว็บสำหรับซื้อสินค้าหรือบริการใด ๆ ก็จะมีการใส่คำสำคัญลงไปในช่องค้นหาของทางเว็บไซต์ Google แล้วเมื่อกดค้นหาก็จะพบว่ามีเว็บไซต์ต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเราก็จะเลือกกดค้นหาเว็บไซต์แรก ๆ ที่ขึ้นมาหรือแสดงในหน้าแรกก่อนเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งเว็บไซต์เหล่านั้นก็จะมีโอกาสที่จะเป็นตัวเลือกอันดับแรกที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ทั้งนี้การแสดงผลจะมีการแสดงเว็บไซต์หน้าละ 10 อันดับ คือ 1-10 สำหรับหน้าแรก สำหรับหน้าที่สอง จะเป็นอันดับ 11-20 ซึ่งการทำ SEO ที่ดี มีประสิทธิภาพนั้น เว็บไซต์ควรจะอยู่ในผลการค้นหาหน้าแรก อันดับที่ 1-10 ซึ่งจะเพิ่มยอดการกดเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างมาก และมีโอกาสทำให้มีผู้คนคลิกเข้ามาชมในเว็บไซต์ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่รักษาอันดับเดิมไว้ได้

จุดสำคัญของการทำ SEO ประกอบไปด้วยหลากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งชื่อเว็บไซต์หรือโดเมนเนม Title ชื่อจำกัดความบน คำอธิบาย เนื้อหาของเว็บไซต์ หน้าเว็บไซต์ ที่มีความเหมาะสมสอดคล้อง ตรงกับคีย์เวิร์ดต่าง ๆ รวมทั้งการเลือกโฮสติ้งที่ดี มีคุณภาพและมาตรฐาน ก็จะช่วยทำให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จได้ตามที่ต้องการ

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO คือแนวทางของการเพิ่มยอดขาย เพิ่มจำนวนลูกค้า ช่วยทำให้เว็บไซต์ของเรามีโอกาสถูกค้นหาและพบเห็นได้มากขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าจะเป็นวิธีที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่เป็นวิธีที่ดีและเหมาะสมกับยุคปัจจุบันที่มีการแพร่หลายของสื่อออนไลน์และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และหากทำอันดับที่ 1ในผลการค้นหาได้ ก็จะส่งผลดีต่อยอดขายอย่างชัดเจน

post

รวมความเชื่อผิด ๆ ของการทำ SEO ที่อาจทำให้เว็บไซต์ตกอันดับอย่างน่าเสียดาย

การตลาดออนไลน์ถือเป็นเทรนด์การตลาดที่มาแรงมากในปัจจุบัน เหตุผลสำคัญเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่เน้นรับคอนเทนต์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ หรือวิทยุ แต่ปัจจุบันกลับใช้เวลาอยู่ในโลกออนไลน์วันละหลายชั่วโมง นั่นทำให้การตลาดออนไลน์มาแรงเสียจริง ๆ และสำหรับวิธียอดนิยมต้องยกให้การทำ SEO หรือการปรับเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับต้น ๆ ของ Search Engine แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำ SEO ซึ่งเป็นเหตุผลให้เว็บไซต์ตกอันดับอย่างน่าเสียดาย

ความเชื่อผิด ๆ ของการทำ SEO ที่ทำให้เว็บไซต์ไม่ติดอันดับเสียที

1.คิดว่าการใส่คีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ เป็นเรื่องดี
แม้ว่าคีย์เวิร์ดจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันเว็บไซต์ติดอันดับ แต่ถึงอย่างนั้นต้องมาพร้อมแนวทางถูกต้อง ตั้งแต่การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดตรงตามกลุ่มเป้าหมาย การเลือกใช้ทั้งคีย์เวิร์ดสั้น คีย์เวิร์ดยาว และคีย์เวิร์ดใกล้เคียง โดยการใส่คีย์เวิร์ดมากเกินไป ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดี เพราะอาจทำให้ Search Engine มองว่าเป็นสแปมก็ได้

2.คัดลอกคอนเทนต์จากเว็บไซต์อื่น
คอนเทนต์คุณภาพนับเป็นหัวใจสำคัญอันดับต้น ๆ ของการทำ SEO เลยก็ว่าได้ แต่ปัญหาที่ทำให้คะแนนเว็บไซต์ไม่ดีขึ้นคือการคัดลอกคอนเทนต์จากเว็บไซต์อื่น โดยวิธีนี้อาจทำให้ถูกแบนจาก Search Engine วิธีที่ถูกต้องจึงควรครีเอทบทความใหม่ และอย่าลืมให้ความสำคัญเรื่องความยาวคอนเทนต์ที่ไม่ควรสั้นหรือยาวจนเกินไป

3.ไม่ทำลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่น
หลายคนเกรงว่าการทำลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่นจะทำให้ลูกค้าคลิกออกจากเว็บไซต์คุณไปอย่างง่าย ๆ ซึ่งแม้ว่าจะใช่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรทำลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่นไว้บ้าง เพราะจะทำให้ลูกค้าเห็นว่าการเข้ามายังเว็บไซต์คุณนั้นมีประโยชน์และมีโอกาสกลับมาใช้บริการซ้ำ

4.Backlink ยิ่งเยอะ ยิ่งดี
แม้ว่าการถูกคลิกผ่าน Backlink จะช่วยเพิ่มจำนวนยอดเข้าชมของเว็บไซต์ได้ แต่หากเป็นการฝากลิงก์ในเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องและฝากลิงก์มากเกินไป Search Engine มีโอกาสตรวจจับได้ว่าเป็นสแปมและทำให้เว็บไซต์คุณไม่ถูกแสดงในหน้าการค้นหาอีกเลย

5.ยอดขายปังแน่ ถ้าติดหน้าแรก Search Engine
แม้ว่าเหตุผลการทำ SEO คือทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ของ Search Engine เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือและมีคนเห็นจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้การันตีว่ายอดขายจะดี เพราะอย่าลืมว่ายังมีปัจจัยอื่น เช่น ราคา คุณภาพ ความคุ้มค่า โดยควรคำนึงเสมอว่าการทำ SEO คือการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่ควรทำควบคู่กับการพัฒนาสินค้าไปด้วย

ใครที่ยังเข้าใจการทำ SEO แบบผิด ๆ หรือผลักดันเว็บไซต์เท่าไหร่อันดับก็ไม่ขยับไปไหนเสียที เห็นทีต้องปรับแนวทางเสียใหม่และอย่าลืมระมัดระวังเกี่ยวกับความเข้าใจผิดทั้ง 5 เรื่องนี้ ซึ่งรับรองว่าจะช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดีขึ้นและไม่ถูก Search Engine แบนอย่างแน่นอน

post

แนะนำเทรนด์การทำ SEO ปี 2021 รับรองติดหน้าแรก Google แน่นอน

อย่างที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่า ‘Google’ เป็น Search Engine ที่ไดรับความนิยมมากที่สุดในไทย เนื่องจากใช้งานง่าย ค้นหาเป็นภาษาไทยได้ และมีการพัฒนาเทคโนโลยีให้ล้ำสมัย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลาย ๆ ธุรกิจที่มีการทำการตลาดออนไลน์พยายามปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ของตัวเองให้ถูกต้องตามหลักการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อให้หน้าเว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ หรืออย่างน้อยหน้าแรกในการค้นหาด้วยคำค้นที่กำหนดไว้ แต่เทรนด์การทำ SEO ปี 2021 จะมีอะไรปรับเปลี่ยนไปจากเดิมบ้างนั้น วันนี้เรามีคำตอบมาฝาก

Featured Snippets
ความหมายของ Featured Snippets คือ การอันดับที่ก่อนอันดับ 1 หรืออันดับ 0 ทำให้ลำดับนี้มีชื่อเรียกว่า Rank Zero โดยเป็นตำแหน่งที่มีเนื้อหาที่ผู้ใช้งานต้องการมากที่สุด สำหรับวิธีที่จะให้เว็บไซต์ติดลำดับ 0 นั้นทางเว็บไซต์ควรทำให้เว็บไซต์ของตัวเองติดหน้าแรกอยู่เสมอและพยายามใช้คีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงหรือหลากหลาย ซึ่งข้อดีของการติดลำดับนี้จะเพิ่มอัตราการเข้าชมและสร้างความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์

Google “E-A-T”
สำหรับความหมายของคำว่า Google “E-A-T” เป็นการแสดงเนื้อหาตามที่ Google ต้องการ คำว่า E คือ Expertise แปลว่าความเชี่ยวชาญ A คือ Authoritativeness แปลว่าความเป็นเจ้าของ และ T คือ Trustworthiness แปลว่าความน่าเชื่อถือ โดยรวมแล้วจึงหมายความว่าเว็บไซต์ต้องมีความถูกต้อง เป็นข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ และเป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งเว็บไซต์ที่ได้เข้าข่ายกรณี Google “E-A-T” จะเป็นเว็บไซต์ประเภทที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวัน

Search Intent
ปัจจุบันการสร้างคีย์เวิร์ดอาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของการทำ SEO แต่ต้องดูว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่ดูคอนเทนต์แบบไหนมากที่สุดจากคำค้นเดียวกัน ซึ่งนอกจากบทความที่หลายคนคุ้นเคยแล้ว ยังสามารถสร้างคอนเทนต์ประเภทวิดีโอ รูปภาพ เสียง ก็ได้ เพราะฉะนั้นหากเลือกใช้คอนเทนต์ได้ตรงตามความต้องการของคนทั่วไป ก็จะทำให้เพิ่มอันดับของเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น

Voice Search
ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลนี AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ จึงทำให้การค้นหาด้วยเสียงมีความสำคัญขึ้น ซึ่งขณะนี้เริ่มมีการพัฒนาให้ใช้กับภาษาไทยได้แล้ว ทำให้มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตจะมีการใช้งาน Voice Search มากขึ้น ดังนั้นการปรับเนื้อหาของเว็บไซต์ให้สามารถค้นหาด้วย Voice Search ได้ จะช่วยเว็บไซต์ติดอันดับที่ดีได้ สำหรับวิธิทำเว็บไซต์ให้รองรับการใช้งาน Voice Search สามารถทำได้โดยการเขียนบทความเชิงภาษาพูด วิเคราะห์คีย์เวิร์ดในกลุ่ม Voice Search สร้างหน้าคำถาม FAQ มากกว่า 1 หน้า ศึกษาการใช้งานแอปพลิเคชันเสียง และที่สำคัญควรศึกษาเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Voice Search จาก Google โดยละเอียด

และนั่นก็คือความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับเทรนด์การทำ SEO ปี 2021 ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากปรับปรุงคอนเทนต์ต่าง ๆ ให้ทันสมัยเข้ากับเทคโนโลยีแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เจ้าของเว็บไซต์ควรให้ความสำคัญคือ ข้อกำหนดของ Google ในการปรับปรุงเว็บไซต์ เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกใน Google ได้ง่ายขึ้นแล้ว

post

แชร์ 4 ข้อควรจำ ช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การทำ SEO ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งของการตลาดออนไลน์ที่นักธุรกิจออนไลน์หลายคนให้ความสำคัญ ยิ่งเราออกแบบเว็บไซต์และคอนเทนต์ SEO ได้ตามที่ Google ต้องการมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะติดอันดับบนหน้าการค้นหามากเท่านั้น ดังนั้น วันนี้เราจึงจะมาแนะนำ 4 ข้อควรจำไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจขายสินค้าหรือบริการประเภทไหนก็ตาม ซึ่งจะช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น

1) ใส่คีย์เวิร์ด SEO กระจายให้ทั่วถึงและหลายตำแหน่ง
หัวใจสำคัญของ SEO คงหนีไม่พ้นการใส่ “คีย์เวิร์ด” ให้เหมาะสม ควรใส่ในส่วนสำคัญต่าง ๆ ที่ “อัลกอริทึม” ของ Google จะมาเก็บข้อมูลเป็นอันดับแรก เช่น หัวข้อ-ชื่อเรื่อง, คำอธิบาย (Meta Description) และเนื้อเรื่องตามความเหมาะสมอย่างละ 2-3 ครั้ง ไม่ควรมากกว่านี้ เพื่อไม่ให้คอนเทนต์ของเราถูกมองว่าเป็น “สแปม” และยังจะสร้างความน่ารำคาญให้กับคนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราอีกด้วย

2) เลือกคีย์เวิร์ดให้ดีก่อนใช้
การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมนั้น ควรผ่านการวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมช่วยวิเคราะห์คีย์เวิร์ด SEO เช่น Google search console เพื่อให้คอนเทนต์ต่าง ๆ ในเว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับมากขึ้น หรือเทคนิคง่าย ๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างการเลือกใช้คำสั้น ๆ ที่มีผู้นิยมใช้สืบค้นในช่องค้นหาของ Google การเลือกคำที่ผู้ใช้นิยมค้นหาจริงจะยิ่งช่วยเพิ่มโอกาสติดอันดับมากขึ้นนั่นเอง

3) เลือกคีย์เวิร์ดที่มีความจำเพาะเจาะจง
นักธุรกิจออนไลน์บางคนนิยมใช้คำสั้น ๆ ที่มีความหมายกว้าง ๆ เช่น รองเท้า, กระเป๋า, เสื้อผ้า ฯลฯ โดยหวังว่าจะเข้าถึงคนจำนวนมาก แต่ความเป็นจริงแล้ว เราควรใช้คีย์เวิร์ดที่มีความยาวประมาณหนึ่งและเฉพาะเจาะจง สามารถระบุกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน รวมถึงลักษณะของสินค้า เช่น “iphone 12 ราคา ล่าสุด 2020 เครื่องเปล่า”, “กางเกง ยีนส์ ขา สั้น 3 ส่วน ผู้หญิง”, “nike air max 270 ราคา ของ แท้” ฯลฯ เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการมากขึ้น

4) ใช้โปรแกรม Yoast SEO ประเมินคุณภาพของ SEO ที่เราทำ
นอกจากการใส่คีย์เวิร์ดให้เหมาะสมตาม 3 ข้อที่กล่าวมาแล้ว หากเว็บไซต์ใช้ระบบ WordPress เรายังต้องฝึกฝนการใช้งานโปรแกรม Yoast SEO เพื่อช่วยวิเคราะห์อย่างละเอียดอีกชั้นหนึ่งว่า คอนเทนต์หรือบทความ SEO ที่เราทำนั้นมีคุณภาพในระดับใด สามารถแข่งขันกับบทความอื่น ๆ ในหมวดเดียวกันที่ออนไลน์อยู่แล้วได้หรือไม่ เพื่อช่วยให้เราสามารถวางแผนและปรับปรุงเนื้อได้ตามความเหมาะสมนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้คีย์เวิร์ด SEO จากทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมานี้ ยังเป็นเพียงแค่กลยุทธ์พื้นฐานของการทำ SEO เท่านั้น เพราะนอกจากทั้ง 4 ข้อนี้แล้ว การออกแบบเว็บไซต์ในเชิงเทคนิคก็ยังมีความสำคัญไม่แพ้กัน เช่น การดาวโหลดข้อมูลที่รวดเร็ว ไม่ล่มบ่อย รวมถึงใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อนจนผู้ใช้ไม่อยากกลับเข้ามาใช้บริการอีก ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับง่ายขึ้นทั้งสิ้น

post

เทคนิคพื้นฐานการคิดคีย์เวิร์ด และการวางในเนื้อหาเพื่อ SEO ที่มีประสิทธิภาพ

หลายคนอาจสงสัยว่า คีย์เวิร์ด (Keyword) คืออะไร ทำหน้าที่เหมือนกุญแจหรือเปล่า เรามาทำความเข้าใจกับคำว่า คีย์เวิร์ดไปพร้อม ๆ กัน เพราะคำ ๆ นี้มีความหมายอย่างมากต่อการทำการตลาดออนไลน์ที่เราเรียกว่า SEO

คีย์เวิร์ด คือ คำที่ผู้คนต้องการค้นหาเพื่อได้มาซึ่งคำตอบ จึงนำไปพิมพ์ลงใน Google search และกระบวนการนี้เองที่ทำให้ คอนเทนต์หรือเว็บไซต์ที่เราต้องการโปรโมทได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในหน้าแรกของ Google ตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ ซึ่งเทคนิคพื้นฐานในการคิดคีย์เวิร์ดและการวางลงในเนื้อหาอย่างมีประสิทธิภาพทำได้ดังนี้

1.ให้ความสำคัญกับการค้นหาคีย์เวิร์ด เพราะการที่เราใช้คีย์เวิร์ดที่ถูกตัว ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้คนค้นพบเว็บไซต์ของเรามากขึ้นด้วย

2.แบ่งประเภทของคีย์เวิร์ดให้ชัดเจน เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการวางโครงสร้างงานเขียน ดังนี้

  • คีย์เวิร์ดประเภท Mass Keyword เป็นคำกว้าง ๆ ไม่เฉพาะเจาะจง แต่มีปริมาณการค้นหาสูง และติดอันดับมาก เหมาะเป็น keyword ตั้งต้นในการค้นหา
  • คีย์เวิร์ดประเภท Niche Keyword คือ คำที่ขยายความ Mass Keyword มีความเฉพาะเจาะจง มีปริมาณค้นหาไม่สูงมาก แต่ถ้าหากเว็บไซต์ติดอันดับในหน้าแรกด้วยคำ Niche Keyword ก็เป็นการเพิ่มโอกาสในการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • คีย์เวิร์ดประเภท Long tail Niche Keyword เป็นคำเฉพาะ ที่ผู้ค้นใช้เพื่อค้นหาสินค้าและบริการที่ต้องการอย่างละเอียด เช่น มีการระบุถึงรุ่น สี ยี่ห้อ ราคา ส่วนลด โปรโมชัน เป็นต้น

3.หลักในการเลือกคำ ควรถึงประเภทของธุรกิจและบริการของเรา คำที่ใช้เป็นคีย์เวิร์ดก็ควรแสดงถึงอัตลักษณ์และตัวตนของธุรกิจและบริการนั้น ๆ อย่างชัดเจนและตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น น้ำหอม สำหรับผู้ชาย วัยทำงาน หรือ รองเท้าแตะสำหรับเดินเล่นชายหาด หรือ เสื้อผ้าสำหรับเทรนด์ฤดูหนาวปีนี้

4.การค้นหาคีย์เวิร์ดเพิ่มเติม ทำได้โดยการสังเกต เช่น เมื่อนำคำว่า “น้ำดื่มผสมวิตามิน” ไปค้นหาบน Google ก็จะมีคีย์เวิร์ดอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกันหรือมีความเกี่ยวข้องกันแสดงปรากฏอยู่ที่ด้านล่างของผลการค้นหาด้วย เช่น จะมีคำว่า น้ำดื่มผสมวิตามินดีไหม, น้ำดื่มผสมวิตามิน pantip, น้ำดื่มวิตามิน ดีจริงหรือ เป็นต้น

จากนั้นให้นำคีย์เวิร์ดที่ได้เหล่านั้นมาใส่ประกอบในชื่อบทความ หรือชื่อหน้าเพจ และเลือกใช้คำเหล่านั้นวางแทรกคละกันไปในเนื้อหา เพื่อให้ได้ใจความครบถ้วน

อย่างไรก็ตาม นอกจากเทคนิคพื้นฐานในการคิดและเลือกใช้คีย์เวิร์ดอย่างถูกต้องแล้ว การเขียนคอนเทนต์ให้น่าสนใจและมีความแตกต่างจากเว็บไซต์อื่น ๆ ก็เป็นการช่วยเปิดมุมมองของผู้อ่าน สร้างจุดเด่น จุดแข็งและจุดขายให้กับเว็บไซต์และบริการนั้น ๆ อีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นการใช้ Google Trends เป็นเครื่องมือในการค้นหาคีย์เวิร์ดก็เป็นตัวช่วยสำคัญในการคิดคีย์เวิร์ด และเลือกใช้คีย์เวิร์ดซึ่งเป็นที่นิยมของผู้คนจำนวนมาก เท่ากับเป็นการเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายหาเว็บไซต์ของเราเจอได้โดยง่ายดาย และนั่นหมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด เช่น การสร้างแบรนด์ หรือเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น

post

หนังสือสอน SEO สำหรับมือใหม่!

แม้ว่าในปัจจุบันจะมีเว็บไซต์มากมายที่สอนวิธีการทำ SEO หรือ Search engine optimization แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นเพียงการสอนเป็นบทความสั้น ๆ ไม่ได้อธิบายไว้โดยละเอียด การอ่านจากหนังสือที่สอนการทำ SEO ตั้งแต่พื้นฐานจึงไม่เพียงช่วยให้เข้าใจหลักการทำ SEO ได้ชัดเจนมากกว่าเท่านั้น แต่ยังสะดวกในการทดลองปฏิบัติด้วย ทั้งนี้หนังสือที่เหมาะสำหรับนักการตลาดมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มหัดทำ SEO มีดังนี้

ดันเว็บไซต์ให้ดังด้วย SEO 2nd Editor หนังสือสอนทำ SEO ตั้งแต่พื้นฐานโดยใช้ Platform ล่าสุดที่ Google พัฒนามาใช้อธิบายให้กับนักการตลาดมือใหม่ เพื่อให้นักการตลาดมือใหม่สามารถนำไปใช้ได้จริง รวมถึงสอนวิธีการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนหน้าแรกของ Google ภายในเล่มมีเนื้อหาแบ่งย่อยออกเป็น 8 บท เนื้อหาเน้นความรู้พื้นฐานในการทำ SEO เป็นหลัก

ทำ SEO ให้ร้านออนไลน์ เพิ่มยอดขายด้วยเงิน 0 บาท หนังสือสอนทำ SEO ที่ออกแบบมาเพื่อนำไปปรับใช้กับร้านค้าออนไลน์โดยตรง เนื่องจากอาชีพขายของออนไลน์เป็นอาชีพที่มีการแข่งขันสูง การเรียนรู้เทคนิคในการทำ SEO ให้กับร้านค้าออนไลน์จึงเป็นความรู้ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เพื่อปรับร้านค้าให้ถูกจัดอยู่ในอันดับแรก ๆ ของการค้นหา เนื้อหาภายในเล่มเน้นที่การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดและการนำคีย์เวิร์ดไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อร้านค้ามากที่สุด

คัมภีร์ SEO เนื้อหาภายในหนังสือเน้นที่การสอนแบบปฏิบัติ โดยให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ SEO ไปจนถึงการวิเคราะห์เว็บไซต์ การตั้งค่าเว็บไซต์ รวมถึงการเช็ค Backlink ซึ่งเป็นส่วนประกอบเสริมที่มือใหม่ควรรู้ เทคนิคทำให้คะแนนเว็บไซต์สูงเพื่อสร้างเว็บไซต์ที่ Google มองว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและเกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้

สูตรลับปรับเว็บให้แรงด้วย SEO หนังสือที่เหมาะสำหรับงานออนไลน์ทุกประเภท เริ่มตั้งแต่การสอนวิธีใช้งานเว็บไซต์ Keyword Search ต่าง ๆ ไปจนถึงการปรับตั้งค่าเว็บไซต์ที่ Google เน้นย้ำมากที่สุดในปัจจุบัน รวมถึงสอนการใช้เครื่องมือฟรีต่าง ๆ ของ Google เทคนิคเกี่ยวกับการทำ Backlink หรือการแลกลิงก์ และเพิ่มเทคนิคการสร้างความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์

เก่ง Keyword + SEO ให้ครบสูตร เนื้อหาภายในหนังสือเน้นเรื่อง Keyword เป็นหลัก โดยสอนตั้งแต่วิธีการหาคีย์เวิร์ดที่ดี การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด การใช้เครื่องมือเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดพร้อมเทคนิคในการนำคีย์เวิร์ดไปปรับใช้ในการทำ SEO รวมถึงสอนเกี่ยวกับการทำ Google Ads และ Google AdSense ที่เป็นการทำโฆษณาเพื่อสร้างรายได้เข้าสู่เว็บไซต์ด้วย

ในปัจจุบัน SEO หรือ Search Engine Optimization มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการทำเว็บไซต์ การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จจึงต้องหมั่นหาความรู้และฝึกปฏิบัติบ่อย ๆ พร้อมทั้งหาเทคนิคเพิ่มเติม เพื่อผลักดันเว็บไซต์ให้มีอันดับที่ดีขึ้นไปสู่หน้าแรกหรืออันดับต้น ๆ ได้ตามเป้าหมาย

post

SEO หัวใจสำคัญของการตลาดออนไลน์

เมื่อระบบการค้าขาย และการทำธุรกิจสมัยใหม่ เปลี่ยนมาอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ตามยุคดิจิทัล การทำตลาดจึงต้องมีเครื่องมือเฉพาะและแตกต่างไปจากวิธีการเดิม ๆ หากแต่อยู่บนพื้นฐานความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค หนึ่งในเครื่องมือหลักของการตลาดยุคดิจิทัลนั้น มีคำว่า SEO อยู่ด้วยแน่นอน

SEO เป็นคำย่อมาจาก Search Engine Optimization เป็นวิธีการที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ใน Search Engine ยอดนิยมอย่าง Google หรือ Bing เพื่อให้จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มตาม

ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากผู้คนบนโลกออนไลน์ได้ใช้ Search Engine โดยเฉพาะ Google เพื่อการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ตามความสนใจมากและบ่อย ไม่น้อยไปกว่า สื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook, Instagram และ Line ล่าสุดมีการรายงานข้อมูลว่าแต่ละวันจะมีคนค้นหาข้อมูลบน Google มากกว่า 3,500,000,000 ครั้ง หรือ 40,000 ครั้ง/วินาที ทั้งการหาข้อมูลสำหรับซื้อสินค้า,ข้อมูลร้านอาหาร ท่องเที่ยว และการจ้างงาน เว็บไซต์ที่สามารถแสดงข้อมูลเป็นอันดับต้น ๆ ของ Googleได้ จึงถือเป็นเว็บไซต์ที่มีจำนวนผู้เข้าชมเป็นจำนวนมหาศาลด้วยเช่นกัน หากจะให้เห็นภาพชัด ๆ ก็คงเปรียบได้กับเป็นร้านค้าที่อยู่ในทำเลทอง มีคนเดินผ่านไปมาตลอดเวลา ซึ่งทำให้ผู้คนเหล่านี้ได้เห็นสินค้าโดยไม่ต้องทำโฆษณาเลย

แล้วเจ้าของเว็บไซต์ควรทำ SEO อย่างไร ?

คำตอบง่าย ๆ คือต้องทำเว็บไซต์ให้ตรงตามเกณฑ์การของ Google ให้มากที่สุด โดยผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าสิ่งที่ Googleให้ความสำคัญมากเป็นลำดับต้น ๆ คือเรื่อง เนื้อหา โครงสร้างและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ โดยมีคำแนะนำถึงวิธีการและ เทคนิค SEO เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมคุณภาพให้กับเว็บไซต์ หลายเรื่องได้แก่

คีย์เวิร์ด (Keyword) ถือเป็นหัวใจสำคัญของเนื้อหาที่ปรากฏบนเว็บไซต์ คีย์เวิร์ด จะต้องสามารถสื่อความหมายได้อย่างชัดเจนว่าเว็บไซต์นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร และจำเป็นต้องระบุคีย์เวิร์ดในจุดต่าง ๆ ของเนื้อหาอย่างเหมาะสม

ความเร็ว ในการเปิดเนื้อหาเว็บไซต์ (Speed) ต้องมากพอ เนื่องจาก ผู้คนให้ความสำคัญกับการเปิดเนื้อหาเว็บไซต์ที่มีความรวดเร็วมากกว่า เรื่องของความเร็วนี้ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Google นำมาใช้คำนวณการจัดลำดับตำแหน่งผลการค้นหาเว็บไซต์ด้วย

ต้องรองรับการทำงานของแท็บเล็ตและ มือถือ (Responsive) เพราะทั้งสองอย่างนี้เป็นช่องทางการค้นหาเว็บไซต์และข้อมูลที่เติบโตอย่างรวดเร็วกว่าการค้นหาผ่านคอมพิวเตอร์

สร้างความเด่นให้กับรูปภาพ (Image) เนื่องจากมีการค้นหารูปภาพผ่าน Google มากขึ้น เจ้าของเว็บไซต์จึงต้องหาวิธีการช่วยให้รูปภาพเป็นที่รู้จักด้วย รูปภาพที่นำมาใช้บนเว็บไซต์ควรมีขนาดเหมาะสมกับพื้นที่ และควรใช้นามสกุลของรูปภาพให้ทันสมัย

นอกจากนี้ การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับเว็บไซต์ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัย (Security) ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ Google ให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะการมีระบบป้องกันการเข้าโจมตีของแฮกเกอร์ (Hacker)

เทคนิคและเคล็ดลับของ SEO เหล่านี้ หากถูกนำไปใช้อย่างเหมาะสมก็จะทำให้ตำแหน่งการค้นหาเว็บไซต์ใน Search engine อยู่ในลำดับต้น ๆ ได้ไม่ยาก

แล้วเจ้าของเว็บไซต์ควรทำ SEO อย่างไร

post

ข้อดีและข้อจำกัดเกี่ยวกับ SEO ที่ทุกคนควรรู้

SEO หรือ search engine optimization เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คนทำเว็บไซต์รุ่นใหม่ศึกษา และพัฒนาให้อันดับในการสืบค้นผ่าน Google ดีขึ้น เพื่อได้ผลลัพธ์ที่ดี คือ เพิ่มยอดขายและทำให้มีลูกค้ามากขึ้นต่อเนื่อง

แต่การทำ SEO ก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ซึ่งเราได้รวบรวมมาฝากกัน เพื่อให้ทุกท่านได้เข้าได้และคาดหวังผลได้ถูกต้องก่อนการเริ่มทำ ดังนี้

1. การทำ SEO ไม่จำเป็นต้องจ้าง

การทำ SEO สามารถเรียนรู้ทำได้ด้วยตนเองโดยการอ่านจากหนังสือเข้าคอร์สและเรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรง จะทำให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างบริษัทเอกชนได้ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเปิดร้านค้าออนไลน์ที่มีต้นทุนน้อย ควรลดต้นทุนให้มากที่สุด

แต่หากเป็นเว็บไซต์ใหญ่ ๆ หรือเจ้าของกิจการที่ต้องทำงานหลายอย่างพร้อม ๆ กัน เช่น การบริหาร การวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ฯลฯ ก็อาจเลือกจ้างทำ SEO ถ้าประเมินแล้วคุ้มค่าเวลามากกว่า

2. จ้างโฆษณา SEM เสริมได้

การทำโฆษณา SEM หรือ search engine Marketing เป็นการประมูลพื้นที่โฆษณาในหน้าผลการค้นหาของ Google ให้ปรากฏในอันดับต้น ๆ และต้องมีการประมูลพื้นที่ระหว่างหลาย ๆ เว็บไซต์ที่ต้องการใช้ keyword เดียวกัน เป็นสิ่งที่ควรทำเสริมกับ SEO เฉพาะช่วงที่มีโปรโมชั่นสินค้าใหม่ ๆ ที่ต้องการกระตุ้นยอดขาย โดยประเมินแล้วว่ารายได้จะคุ้มค่ากับรายจ่ายนี้

อย่างไรก็ตาม แม้จะทำ SEO อย่างเดียว เว็บไซต์คุณก็มีอันดับที่ดีและมียอดขายสูงได้ เพียงอาศัยความสม่ำเสมอในการทำ หากคุณเป็นบริษัทที่มีงบประมาณน้อย ไม่ต้องการลงทุนมาก แนะนำให้ทำ SEO เป็นหลักจนเข้าใจภาวะเสถียรของการตลาดออนไลน์ในสายธุรกิจตัวเอง หากมีงบประมาณเหลือจึงค่อยทำ SEM เสริม

3. ต้องใช้ระยะเวลาสะสมข้อมูล

การทำ SEO ต้องให้ระบบ algorithm ของ Google มาเก็บข้อมูลสำรวจเป็นระยะ โดยต้องเข้าไปใน Google search Console ลงทะเบียนยืนยันตัวตนและแจ้งโดเมนที่ต้องการให้ Google มาเก็บข้อมูลก่อน

การทำ SEO ต้องอาศัยระยะเวลาเห็นผลโดยเฉลี่ย 3 ถึง 6 เดือนสำหรับธุรกิจทั่วไป และอาจมากถึง 1 ปี สำหรับธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง เพื่อให้อันดับ average position เปลี่ยนแปลง ต่างจากการจ้างทำโฆษณาซึ่งเห็นผลในช่วงไม่กี่วัน

4. เสริมภาพลักษณ์ธุรกิจ

การทำ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์คุณดูทันสมัยและมีเอกลักษณ์ขึ้น เนื่องจากต้องมีการทำทั้งโครงสร้างเว็บไซต์ให้สวยงามใช้ง่าย ในระบบโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ การเชื่อมโยงลิงก์กับเพจหรือเว็บไซต์อื่น ๆ การใส่เนื้อหาที่มี keyword น่าสนใจตรงกับการสืบค้น ฯลฯ

การปรับปรุงองค์ประกอบเหล่านี้อยู่เสมอ จะทำให้แบรนด์ดูทันสมัยและมียอดขายที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนด้วย

จะเห็นได้ว่า SEO มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด การเรียนรู้ให้เข้าใจหลักการและนำมาพัฒนาเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับการทำการตลาดรูปแบบอื่น ๆ จะทำให้คุณมีโอกาสประสบความสำเร็จในธุรกิจมากยิ่งขึ้นได้

การทำ SEO ก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด

post

หา keyword อย่างไรให้เว็บไซต์ SEO มีอันดับ

การใช้ keyword ที่เหมาะสมในการทำบทความให้เว็บไซต์ SEO เป็นสิ่งที่จะต้องใส่ใจมาก เนื่องจาก keyword คือหัวใจของการผลิตบทความ หากเลือกคำที่ตรงกับการค้นหาของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจริง ๆ จะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสาร เชื่อมโยงสู่โอกาสในการสร้างแบรนด์ รวมถึงเพิ่มยอดขายสินค้าและบริการตามมาได้ การเลือก keyword จึงจำเป็นต้องดูเทคนิคแบบมืออาชีพ ดังนี้

ค้นหา keyword SEO คุณภาพอย่างไร

การหา keyword SEO ตามระบบ search engine optimization ที่ Google มีมาตรฐานในการคัดกรองคุณภาพของเว็บไซต์นั้น โดยทั่วไปสามารถหาได้จากวิธีที่ง่าย สะดวกและรวดเร็วที่สุด คือ การลองพิมพ์ด้วยตัวเองในช่อง Google Search เกี่ยวกับสินค้า เช่น หากคุณทำเว็บไซต์เพื่อขายเฟอร์นิเจอร์ ก็สามารถที่จะลองพิมพ์ใน ช่อง Google Search ดังกล่าว จากนั้นจะพบว่าระบบแสดงตัวอย่างคำแบบอัตโนมัติ เช่น คำว่า เฟอร์นิเจอร์ ชลบุรีเฟอร์นิเจอร์ไม้ เฟอร์นิเจอร์ มือสอง เฟอร์นิเจอร์ห้องนอน ฯลฯ คำเหล่านี้ คือ คำที่มีการใช้ค้นหาจริงในกลุ่มคนไทย ที่ต้องการหาเฟอร์นิเจอร์ไว้ในบ้าน

จากนั้นก็เลือกคำที่เหมาะสมกับสินค้าและบริการที่มีอยู่ เพื่อไปผลิตบทความ SEO ได้ต่อไป หรืออาจใช้การสังเกตจากคำแนะนำในด้านล่างของการค้นด้วย Google search ที่เรียกว่า Google related search จากที่เราพิมพ์คำลงไปแล้ว จะมีตัวอย่างคำต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ที่ด้านล่างสุดของหน้าจอ เช่น เฟอร์นิเจอร์ มินิมอล สไตล์ แนะนำ แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ เฟอร์นิเจอร์ สวย ลดราคา ฯลฯ คำเหล่านี้ก็สามารถนำมาผลิตบทความที่ไม่ซ้ำใคร ก็จะได้รับความดึงดูดใจจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

นอกจาก วิธีการแบบพื้นฐานที่กล่าวมาแล้ว ยังสามารถใช้เว็บไซต์ Ubersuggest ในการวิเคราะห์ โดยอ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ชั้นนำอันดับ 1-10 ต้น ๆ ในหน้าแรกของการสืบค้นด้วย Google search ว่ามีค่า Traffic หรือค่า CTR (Click through Rate) หมายถึงอัตราจำนวนครั้งของการคลิกเข้ามาชมต่อจำนวน 100 ครั้งที่มองเห็นในหน้าผลการค้นหา โดยแสดงผลแยกกันแต่ละ keyword ซึ่งหาก keyword ได้รับความนิยมสูง ก็สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างบทความ SEO โดยคาดหวังผลลัพธ์สูงได้ ว่าจะได้รับความนิยมมากเช่นเดียวกันกับเว็บไซต์ชั้นนำเหล่านั้น

หากเข้าไปชมในเว็บไซต์ Ubersuggest จะสังเกตได้ง่าย ๆ ว่าจะมี keyword ที่เป็น long tail keyword คือ keyword ที่มีความยาวและจำเพาะเจาะจงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่มีค่า traffic และ CTR สูง เช่น คำว่า เฟอร์นิเจอร์ มือสอง ญี่ปุ่น, เฟอร์นิเจอร์ ห้องนอน ราคาถูก, เฟอร์นิเจอร์ สวย ๆ ราคาถูก เป็นต้น ซึ่งการใช้ข้อมูลทางสถิติเหล่านี้และตัวอย่างจากผลการวิเคราะห์ของระบบมาช่วยในการเลือก keyword SEO ก็สามารถทำให้ได้บทความที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่าวิธีในการเลือก keyword มาใช้ในบทความ SEO มีอยู่หลายวิธี หวังว่าเทคนิคที่นำเสนอข้างต้น จะเป็นประโยชน์ต่อคนทำเว็บไซต์ SEO ในการเสริมสร้างความสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์มากยิ่งขึ้น

หา keyword อย่างไรให้เว็บไซต์ SEO มีอันดับ