post

งงไหมจะใช้ SEO หรือ SEM?

เชื่อว่าผู้ประกอบการหลายท่านที่เป็นมือใหม่ในวงการตลาดออนไลน์ อาจมีความสงสัยว่า SEO กับ SEM คืออะไร แบบไหนจะดีกว่ากัน แล้วผู้ประกอบธุรกิจจะเลือกใช้อะไรดี จึงจะสามารถเพิ่มยอดขายให้ได้มากขึ้น วันนี้เรามาเรียนรู้ไปด้วยกันในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 

1. ความหมาย

SEO (search engine optimization) หมายถึงการทำการตลาดออนไลน์ผ่านระบบปฏิบัติการค้นหาเพื่อให้ถูกจัดอันดับให้อยู่บนหน้าแรก (ในที่นี้หมายถึง google) โดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาให้ google ส่วน SEM (search engine marketing) ถือว่าเป็นวิธีการทำให้คนรู้จักเว็บไซต์เหมือนกันกับ SEO แต่แตกต่างกันตรงที่ต้องจ่ายค่าโฆษณา ส่วนสิ่งที่เหมือนกันของการนำ SEO และ SEM มาใช้ในการทำการตลาดคือทั้งสองอย่างจำเป็นต้องมี keyword (คำที่ใช้ค้นหา)

2. การวางแผน-เตรียมการ 

การทำ SEO จะมีความยุ่งยากมากกว่า SEM เพราะจะต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ เรียกได้ว่าต้องเตรียมการตั้งแต่ก่อนลงมือทำเว็บไซต์เลยทีเดียว เพราะการทำ SEO ต้องมีการเขียนบทความโดยใช้ keyword ที่มีเนื้อหาเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันซึ่งอาจต้องใช้หลายบทความและแต่ละบทความต้องสามารถลิงก์หากันได้อย่างลงตัว

หากท่านจินตนาการไม่ออกก็ลองคิดถึงภาพยนตร์จักรวาลทั้งหลายนั่นแหละ ที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะเป็นหนังจักรวาลของมาเวล  ไม่ทราบว่าเคยดูกันบ้างหรือเปล่า ทั้งเรื่องแย่งกันดีดนิ้วเพื่อลดจำนวนประชากร ส่วนการทำ SEM ไม่จำเป็นต้องใช้บทความมากมาย บางเว็บไซต์ใช้แค่บทความเดียว ขอแค่เป็นบทความที่ใช้ keyword ที่สื่อถึงสินค้าหรือบริการก็พอ 

ส่วนการซื้อโฆษณาบน google หรือ SEM จะใช้ระบบที่เรียกว่า pay per click คือการซื้อโฆษณาในรูปแบบที่มีการเรียกเก็บเงินตามจำนวนคลิก คนใช้งานคลิกมากก็จ่ายมาก ผ่านรูปแบบการประมูล keyword คำไหนที่มีคนใช้เยอะก็ต้องจ่ายแพง  เพื่อดันโฆษณาเว็บไซต์ให้ไปปรากฏบนหน้าแรกของ google

3. ระยะเห็นผล

SEO ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานเพราะเป็นการทำการตลาดที่เรียกว่า organic ซึ่งเป็นศัพท์ทางการตลาดหมายถึงไม่ซื้อโฆษณานั่นเอง การทำ SEO ให้ได้ผลอาจต้องใช้เวลา 6 เดือนหรือมากกว่านั้น ส่วน SEM ใช้เวลาสั้นกว่ามาก หากต้องการความรวดเร็วคงต้องหันไปใช้ บริการ SEM 

4. ความยั่งยืน

SEO ทำครั้งเดียวจบสามารถอยู่บนหน้าหนึ่งของ google ได้ตลอดไปตราบเท่าที่ยังไม่มีคู่แข่ง ส่วนการทำ SEM เสียเปรียบตรงที่หากผู้ประกอบการรายใดต้องการอยู่บนหน้าหนึ่งต่อไปต้องจ่ายค่าโฆษณาเพิ่มหยุดจ่ายเมื่อไหร่ถูก google ดีดนิ้วหายไปจากหน้าหนึ่งทันที

หากจะให้ตัดสินว่า ระหว่าง SEO กับ SEM อันไหนดีกว่ากันคงตอบยาก เพราะสุดแล้วแต่ว่าผู้ประกอบการแต่ละรายจะวางกลยุทธ์ในการขายอย่างไร  ถ้าต้องการเห็นผลไวก็ต้องเลือก SEM แต่ถ้าต้องการประหยัดเน้นหวังผลระยะยาวก็ต้องเลือก SEO หรืออาจจะทำไปพร้อม ๆ กันก็ได้

post

5 เรื่องพื้นฐานควรรู้เกี่ยวกับ SEO

ทุกวันนี้ถ้าเราอยากจะรู้อะไรก็หาคำตอบได้ง่าย ๆ ด้วยการ Search พิมพ์ Keyword ที่เราต้องการค้นหา แค่นี้คำตอบก็ขึ้นมามากมาย ซึ่งเว็บไซต์ที่เราจะเลือกคลิกเข้าไปคืออันดับต้น ๆ ที่ปรากฏขึ้นมา นั่นแสดงว่ามีการทำ SEO มาดี แล้ว SEO คืออะไร เรามาหาคำตอบกัน

SEO (Search Engine Optimization) คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ในด้านต่าง ๆ ให้ Search Engine ชอบ เพื่อที่จะได้ขึ้นไปอยู่ด้านบนสุดหรือระดับสายตาของการค้นหาอย่างใน Google, Bing, Yahoo ด้วยวิธีธรรมชาติของระบบโดยไม่ต้องเสียเงินโฆษณาหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้เพิ่มโอกาสให้คนเห็นและคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์เราได้เยอะขึ้น เพิ่มโอกาสการขายได้เพิ่มมากขึ้น

การจะทำ SEO นั้นก็มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งเราสามารถทำได้ไม่ยากเกินไป แต่ต้องอาศัยการปรับปรุง พัฒนาสม่ำเสมอ และความพยายาม โดยมีหลักการพื้นฐาน 5 ข้อ ดังนี้

1.Keyword
Keyword ต้องตรงกับเนื้อหาของธุรกิจหรือเว็บไซต์ ไม่ใช่ว่ามีแต่ Keyword แต่ข้างในไม่เกี่ยวข้องกัน เราต้องคิดว่าเนื้อหานี้คนที่เข้ามาจะค้นหาด้วยคำว่าอะไรได้บ้าง เปรียบเสมือนเครื่องมือทางการตลาดอย่างหนึ่งที่เข้าถึงได้ง่าย รวดเร็ว แค่ต้องหยิบมาให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าเพื่อที่จะเป็นคลิกที่มีคุณภาพ

2.ปรับปรุงเว็บไซต์สม่ำเสมอ
ควรอัปเดทเนื้อหาให้ Search Engine ได้รับข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ทันสมัยตลอดเวลาและในเว็บไซต์หรือเนื้อหาควรมีภาพประกอบเพื่อเพิ่มความน่าสนใจ น่าติดตาม นอกจากนี้จะเพิ่มในส่วนของวิดีโอเข้าไปด้วยก็ยิ่งดี เพราะไม่ว่าจะภาพประกอบหรือวิดีโอก็สามารถขึ้นไปปรากฏเป็นผลลัพธ์การค้นหาของ Search Engine ได้อีกด้วย

3.ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
ต้องดูน่าเชื่อถือตั้งแต่รูปแบบ โครงสร้าง สีสัน เนื้อหา ภาพประกอบ วิดีโอ ทุกอย่างต้องมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอย่างมีคุณภาพ มีโอกาสมากที่คนจะนำ Link ของเว็บไซต์เราไปอ้างอิงถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งของการทำ SEO

4.ความเร็วของเนื้อหาที่ปรากฏ
ความเร็วของเว็บไซต์หรือที่เรียกว่า Page Speed ถ้าคลิกแล้วหน้าเว็ปแสดงผลให้เห็นเร็วมากเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะคนจะอยู่ได้นานเพื่ออ่าน ซึ่งมีผลกับ SEO อย่างมาก ถ้าคนคลิกเข้ามาแล้วโหลดหน้าเว็บนานจะออกจากเว็บไซต์เราทันทีและไปเลือกชมเว็บไซต์อื่นแทน

5.อ่านง่ายบนมือถือ
ปัจจุบันคนเราจับมือถือมากกว่าอยู่กับคอมพิวเตอร์กันแล้ว เราควรคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย เพราะยุคนี้สมัยนี้อะไรก็ต้องง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว การจัดรูปแบบ องค์ประกอบของหน้าเว็บไซต์ก็ควรดึงดูดความสนใจได้ตั้งแต่แรกเห็น มองได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยและหลักการอื่น ๆ อีกมากมายในการทำ SEO ที่ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ทุกเว็บไซต์ที่ทำจะได้ขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ หรืออยู่บนสุดในการค้นหา เนื่องจาก Search Engine ใช้ อัลกอริทึม (Algorithm) ในการจัดอันดับและให้คะแนนตามที่ได้กำหนดขึ้นมาในระบบ สิ่งสำคัญที่เราจะทำได้เอง ควบคุมได้เองไม่ต้องลุ้นกับระบบก็คือ การพัฒนา ปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์เราอยู่ตลอดเวลาด้วยความใส่ใจที่เรามีต่อลูกค้า

post

5 สิ่งที่ควรทำ เมื่อต้องการสร้างเพจ facebook ให้ได้เงิน และผลทาง SEO

Facebook ถูกจัดอันดับให้เป็น Social media อันดับ 1 ของโลก (ข้อมูลอัปเดต ณ เดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2564) เนื่องจากมีผู้ใช้งานจำนวนมากถึง 1.8 ล้านกว่าคน ทำให้ Facebook fanpage จึงเป็นช่องทางที่สามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี เช่น ใช้เป็นพื้นที่แสดง Portfolio เพื่อให้ลูกค้าได้เข้ามาดูผลงานที่เคยผ่านมา ช่วยในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเจ้าของเพจ, โดยสิ่งที่ควรทำเมื่อต้องการสร้างเพจ Facebook เพื่อสร้างรายได้ และผลดีทาง SEO มีดังนี้

1.ตั้งเป้าหมายในการทำเพจให้ชัดเจน การสร้าง Facebook fanpage สามารถสร้างรายได้จากหลายช่องทาง เช่น การขายสินค้าหรือบริการ, การขายโฆษณา, การเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าให้กับผู้อื่น หรือการขายเพจที่มีจำนวนผู้ติดตามมากกว่า 1,000 คน ขึ้นไป เป็นต้น เพราะการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนนั้นจะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการสร้างรายได้จากเพจได้มากกว่า

2.กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าสู่เพจ การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็นปัจจัยที่ช่วยกำหนดทิศทางการทำเพจให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น เพจ “คิ้วต่ำ” เป็นเพจคำคม ที่ตั้งเป้าหมายในการสร้างคอนเทนต์เพื่อให้กำลังใจ โดยใช้ภาพการ์ตูนที่ดูสบายตา โทนสีอ่อนละมุนตาและนำสถานการณ์ปัจจุบันมาประยุกต์ให้เกิดคอนเทนต์ที่ทันสมัยถูกใจกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ช่วงอายุ 20 – 40 ปี เป็นต้น ซึ่งการมีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน ก็ส่งผลดีต่อ SEO โดยตรง เพราะกลุ่มเป้าหมายเมื่อเข้ามาเพจแล้ว จะมีส่วนร่วมมากกว่ากลุ่มคนทั่วไปที่เพียงผ่านมาพบเห็น

3.กำหนดคาแรคเตอร์ของตัวเอง การกำหนดแนวทางของตัวเองให้มีความชัดเจน เช่น เพจคิ้วต่ำ เลือกใช้ภาษาวัยรุ่น ตัวการ์ตูนที่มีลายเส้นเรียบง่ายและสีสันสบายตา เป็นต้น ไม่เพียงแต่ทำให้เพจดูสวยงามเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เกิดภาพจำที่ช่วยให้เพจเป็นที่จดจำได้ดีกว่าด้วย

4.ศึกษาเพจประเภทเดียวกันที่มีผู้ติดตามเยอะ การหมั่นเข้าไปศึกษาเพจประเภทเดียวกันที่มีจำนวนผู้ติดตามเยอะจะช่วยในเรื่องการอัปเดตข้อมูลที่กลุ่มเป้าหมายกำลังให้ความสนใจเพื่อนำข้อมูลมาปรับใช้กับเพจและสร้างคอนเทนต์ที่มีความสดใหม่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่ติดตามเพจ ซึ่งการสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้เกิดการตอบโต้ เช่น การกดไลก์ แชร์ หรือคอมเมนต์มากยิ่งขึ้น ส่งผลดีต่อ SEO โดยตรง

5.หมั่นลงคอนเทนต์อยู่เสมอ การหมั่นอัปเดตคอนเทนต์ลงเพจอยู่เสมอจะช่วยให้เกิดการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กดติดตามเพจได้เห็นคอนเทนต์ใหม่ ๆ ของเพจเป็นประจำ และได้คะแนน SEO ที่ดีด้วย เพราะบอทของ search engine จะประเมินว่ามีความเคลื่อนไหวและเนื้อหาใหม่ ๆ อยู่เสมอ

การสร้างรายได้จาก Facebook fanpage สามารถสร้างรายได้ต่อเดือนได้ตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักแสนบาทได้ แต่ผู้ทำเพจจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน หมั่นอัปเดตคอนเทนต์ที่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันและโพสต์คอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดการเข้าถึงและการติดตามเพจจากกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้

post

3 วิธีจัดการคอนเทนต์บทความแบบ SEO ให้ถูกใจ Google ยุค 2021

การทำคอนเทนต์ให้เป็นบทความแบบ SEO ที่จะสามารถนำพาเว็บไซต์หรือ Social ของคุณไปสู่อันดับต้น ๆ ของ Google ได้นั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เพียงแต่คุณต้องเข้าใจหลักการทำให้ถูกใจ Google ในยุค 2021 ที่มีการปรับเปลี่ยนการให้คะแนนเว็บไซต์ต่าง ๆ และคอนเทนต์จำนวนมากที่อยู่บนโลกออนไลน์ เพื่อที่จะสามารถดันคอนเทนต์นั้น ๆ ให้ตรงความต้องการของผู้ที่ค้นหามากที่สุด ซึ่งคุณสามารถใช้ 3 วิธีจัดการบทความในสไตล์ SEO ให้เข้าถึง Google ได้มากขึ้น ดังนี้

1.ทำให้มีคุณภาพ
เรื่องของคุณภาพถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก ไม่ว่าคุณจะทำเว็บไซต์หรือโซเชียลในด้านใดก็ตาม ถ้าคุณมีความรู้เฉพาะด้านที่ไม่ว่าจะเป็นแบบลงลึกหรือการอธิบายที่สามารถเข้าใจได้ง่าย ผู้ที่ติดตามย่อมรู้สึกอยากอ่านเนื้อหาของคุณมากขึ้นแน่นอน ดังนั้นการเลือกผู้เขียนที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน หรือเป็นผู้เขียนที่มีความสามารถด้านการวางคีย์เวิร์ดและการเลือกใช้คีย์ที่เหมาะสมต่อเนื้อหาที่เขียน การใช้รูปภาพประกอบและสื่อต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงต่อบทความที่เขียนอยู่ได้ พร้อมการวางโครงสร้างตามแบบ SEO ได้แนบเนียน มีปริมาณเนื้อหาที่เหมาะสม เพียงเท่านี้บทความของคุณก็จะกลายเป็นกระแสที่ทำให้คนเข้ามาอ่านอย่างต่อเนื่อง พร้อมแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีคนคลิกเข้าชมสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายมาเป็น Volume สูงบน Traffic ของเว็บไซต์ ที่จะผลักดันให้เว็บหรือเพจบน Facebook ของคุณขึ้นไปอยู่อันดับต้น ๆ ของ Google ได้ง่ายมากกว่าเดิม

2.ความยาวต้องเหมาะสม
การเขียนบทความแบบ SEO ในยุคนี้ จะมาในสไตล์ Long Form ที่สามารถอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับเนื้อหาที่คุณต้องการบอกต่อผู้อ่านได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งทาง Google ได้มีการวิเคราะห์แล้วว่าบทความจำนวน 2,000 คำขึ้นไปและสูงสุดที่ 3,000 คำ กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ยิ่งถ้าบทความนั้น ๆ มีการวางหัวข้อไว้อย่างเหมาะสม จัดเรียงเนื้อหาได้น่าอ่าน มีการจัดวางส่วนต่าง ๆ เพื่อให้อธิบายได้ชัดเจนมากขึ้น จะยิ่งถูกใจผู้อ่านและถูกใจ Google จนขึ้นไปเป็นอันดับ 1 ของหน้าแรก Google ได้ง่ายกว่าที่คาดคิด

3.มีความเป็น Original
บทความที่เป็น Original หรือเป็นต้นฉบับ เป็นการเขียนงานที่มีความสดใหม่ ถือเป็นงานที่เว็บไซต์หรือแฟนเพจยุคนี้ต้องการมากที่สุด เพราะการเขียนบทความที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบสดใหม่ จะยิ่งช่วยส่งเสริมให้ Google มองเห็นความสำคัญของเนื้อหานั้น ๆ แล้วผลักดันให้สู่หน้าแรกได้เร็วมากยิ่งขึ้น

การเลือกหานักเขียนที่มีชื่อเสียงหรือมีฝีมือด้านการทำงานบทความ จะมีความสำคัญอย่างมากต่อการทำ SEOคอนเทนต์ในรูปแบบของบทความของปี 2021 เพราะผู้ที่ Search หา Keyword ไม่ได้มองหาเพียงแค่คีย์ที่สนใจเท่านั้น แต่ยังมีการนำชื่อนักเขียนหรือผลงานของนักเขียนไป Search หาเพิ่มเติม ดังนั้นจึงกลายมาเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะทำให้คอนเทนต์บทความภายในเว็บของคุณอาจจะได้อานิสงส์คือ​ มียอดค้นหาและการคลิกเข้ามาอ่านเพิ่มมากขึ้น

post

รู้จัก “คีย์เวิร์ด” SEO 7 ประเภท ช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์

สำหรับคนที่เป็นนักทำคอนเทนต์หรือเขียนบทความออนไลน์น่ารู้จักเทคนิคการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization กันไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะความสำคัญของการใช้ “คีย์เวิร์ด” (Keyword) ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับดี ๆ บนหน้าการค้นหาของ Search Engine ต่าง ๆ

สำหรับวันนี้ เราก็จะไปทำความรู้จัก คีย์เวิร์ด” SEO 7 ประเภท ที่จะช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์

  1. คำนามสั้น (Short-tail Keyword)
    การใช้คำนามสั้น (Short-tail Keyword) เป็นคำที่ไม่มีความเฉพาะเจาะจง ส่วนใหญ่มักเป็นคำที่มีความหมายกว้าง ๆ ระบุชื่อสิ่งของ ชื่อคน หรือชื่อสถานที่ ซึ่งคำประเภทนี้มักมีจำนวนผู้คนหามากที่สุด ทำให้เป็นคำที่มีคู่แข่งเยอะตามไปด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่าง รองเท้า, กระเป๋า, รถจักรยาน ฯลฯ
  2. คำนามยาว (Long-tail Keywords)
    การใช้คำนามยาว (Long-tail Keywords) เป็นคำที่ช่วยเพิ่มความเฉพาะเจาะจงให้มากขึ้น ช่วยจำกัดขอบเขตการค้นหาให้แคบลงด้วยการบอกลักษณะหรือจุดเด่นต่าง ๆ ต่อท้าย เช่น รองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่ง, รองเท้านักเรียน, กางเกงขาสั้นผู้หญิง เป็นต้น
  3. คำกลาง ๆ ที่เนื้อหาตายตัว (Long-term evergreen keyword)
    คำกลาง ๆ ที่เนื้อหาตายตัว (Long-term evergreen keyword) เป็นคำลักษณะกลาง ๆ ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็จะมีคนค้นหาใน Search Engine ด้วยคำเหล่านี้เสมอ ข้อมูลของเนื้อหาที่เกี่ยวกับคำประเภทนี้ค่อนข้างจะตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ยกตัวอย่าง แบบฝึกหัดคณิตศาสตร์, ประโยชน์ของวิตามินซี, ประวัติศาสตร์กรุงเทพฯ เป็นต้น
  4. คำนามสั้น ๆ ที่เป็นกระแส (Short-term fresh keyword)
    คำนามสั้น ๆ ที่เป็นกระแส (Short-term fresh keyword) หมายถึงคำสั้น ๆ ที่กำลังเป็นกระแสในสังคมขณะนั้น อาจจะเป็นคำที่เป็นไวรัลในสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น ส้มหยุด, เที่ยวทิพย์, พระมหาเทวีเจ้า ฯลฯ หรือเป็นคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับคน, ข่าวการเมือง หรืออาชญากรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้นก็ได้เช่นเดียวกัน โดยสามารถสังเกตจากสื่อโซเชียลว่าคำไหนที่ติดเทรนด์ในช่วงนั้น
  5. คำระบุลักษณะเด่นของลูกค้า (Customer defining keyword)
    คำลักษณะเด่นของลูกค้า (Customer defining keyword) เป็นการนำลักษณะเด่นของลูกค้ามาใช้ร่วมกับคำประเภท Short-tail Keyword ทำให้เกิดคีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจง เช่น กางเกงผู้หญิงอวบ, รองพื้นผิวแทน, ทรงผม สาวผมหยักศก เป็นต้น
  6. คำลักษณะเด่นของสินค้า/บริการ (Product defining keyword)
    ลักษณะเด่นของสินค้า/บริการ (Product defining keyword) เป็นคำที่นำลักษณะเด่นของสินค้าหรือบริการมาใช้ในการทำ SEO เช่น ยี่ห้อ, รุ่น, ลักษณะ ฯลฯ ยกตัวอย่าง โฮสเทลกรุงเทพ ราคาถูก, กองทุน ABC ผลตอบแทนสูง, รองเท้าผ้าใบ (ชื่อแบรนด์) ใส่สบาย เป็นต้น โดยลักษณะของคำประเภทนี้ที่ดีควรเป็นคำที่มีการค้นหาพอประมาณ มีคู่แข่งน้อย มีความเฉพาะเจาะจงสูง
  7. คำระบุตำแหน่งที่ตั้ง Geo-targeting keyword
    คำระบุตำแหน่งที่ตั้ง (Geo-targeting keyword) เป็นการบอกตำแหน่งที่ตั้งต่อท้ายคำประเภท Short-tail Keyword ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเฉพาะเจาะจง และจำกัดขอบเขตการค้นหามากขึ้น อีกทั้งยังสามารถดึงดูดความสนใจจากลูกค้าในพื้นที่มากขึ้นด้วย เช่น ร้านอาหารทะเล มหาชัย, โรงแรมแถวมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ร้านกาแฟวิวสวยปาย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับอัลกอริทึมของ Search Engine ต่าง ๆ เช่น Google ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อหลายปีก่อนมาก ผู้ทำ SEO จึงต้องค้นคว้าหาคีย์เวิร์ดที่ตรงใจผู้ใช้ โดยสามารถเริ่มต้นจากไอเดียคีย์เวิร์ดทั้ง 7 ประเภทข้างต้น ก็จะสามารถต่อยอดในการผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นที่สนใจของผู้ชมได้ดียิ่งขึ้น

post

แนวคิดทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับ ยอดขายพุ่ง

หากว่ากันถึงเรื่อง SEO เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินกันมาบ้าง เนื่องจาก SEO นั้นเป็นสิ่งที่หลาย ๆ เว็บไซต์นำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณสมบัติ คุณลักษณะต่าง ๆ ที่มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ดังนั้น หากว่าเรามีการเปลี่ยนแปลง พัฒนาเว็บไซต์ของแบรนด์ สินค้าและธุรกิจของเราด้วยการทำ SEO แล้วล่ะก็ เชื่อได้ว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจของเราในระยะยาวอย่างแน่นอน

มาเริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักกับ SEO กันก่อน การทำ Search Engine Optimization หรือ SEO เป็นการปรับแต่งโครงสร้าง ภาพลักษณ์ของเว็บไซต์ การปรับแต่งโค้ดต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ รวมถึงการการปรับแต่งความรวดเร็วในการที่จะเข้าถึงเว็บไซต์ของเรา ในส่วนของรายละเอียด รูปแบบ ในเนื้อหาที่เราจะนำไปใส่ในเว็บไซต์ของเรา ให้มีความถูกต้องเหมาะสม มีลักษณะต่าง ๆ ที่แสดงอยู่บนหน้าเว็บไซต์ ตรงกับความต้องการของเว็บ Search Engine ที่ต้องการให้ทำเป็นมาตรฐานเหมือนกันทั่วโลก

ประโยชน์ที่มากมายของ SEO ทำให้เราสามารถยกอันดับเว็บไซต์ของเราให้อยู่ในหน้าการค้นหาที่ดีขึ้น อย่างที่เรามักจะพบเห็นการพิมพ์ การกดค้นหาด้วยคำต่าง ๆ เช่น การค้นหาเว็บสำหรับซื้อสินค้าหรือบริการใด ๆ ก็จะมีการใส่คำสำคัญลงไปในช่องค้นหาของทางเว็บไซต์ Google แล้วเมื่อกดค้นหาก็จะพบว่ามีเว็บไซต์ต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเราก็จะเลือกกดค้นหาเว็บไซต์แรก ๆ ที่ขึ้นมาหรือแสดงในหน้าแรกก่อนเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งเว็บไซต์เหล่านั้นก็จะมีโอกาสที่จะเป็นตัวเลือกอันดับแรกที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ทั้งนี้การแสดงผลจะมีการแสดงเว็บไซต์หน้าละ 10 อันดับ คือ 1-10 สำหรับหน้าแรก สำหรับหน้าที่สอง จะเป็นอันดับ 11-20 ซึ่งการทำ SEO ที่ดี มีประสิทธิภาพนั้น เว็บไซต์ควรจะอยู่ในผลการค้นหาหน้าแรก อันดับที่ 1-10 ซึ่งจะเพิ่มยอดการกดเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างมาก และมีโอกาสทำให้มีผู้คนคลิกเข้ามาชมในเว็บไซต์ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่รักษาอันดับเดิมไว้ได้

จุดสำคัญของการทำ SEO ประกอบไปด้วยหลากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งชื่อเว็บไซต์หรือโดเมนเนม Title ชื่อจำกัดความบน คำอธิบาย เนื้อหาของเว็บไซต์ หน้าเว็บไซต์ ที่มีความเหมาะสมสอดคล้อง ตรงกับคีย์เวิร์ดต่าง ๆ รวมทั้งการเลือกโฮสติ้งที่ดี มีคุณภาพและมาตรฐาน ก็จะช่วยทำให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จได้ตามที่ต้องการ

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO คือแนวทางของการเพิ่มยอดขาย เพิ่มจำนวนลูกค้า ช่วยทำให้เว็บไซต์ของเรามีโอกาสถูกค้นหาและพบเห็นได้มากขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าจะเป็นวิธีที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่เป็นวิธีที่ดีและเหมาะสมกับยุคปัจจุบันที่มีการแพร่หลายของสื่อออนไลน์และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และหากทำอันดับที่ 1ในผลการค้นหาได้ ก็จะส่งผลดีต่อยอดขายอย่างชัดเจน

post

รวมความเชื่อผิด ๆ ของการทำ SEO ที่อาจทำให้เว็บไซต์ตกอันดับอย่างน่าเสียดาย

การตลาดออนไลน์ถือเป็นเทรนด์การตลาดที่มาแรงมากในปัจจุบัน เหตุผลสำคัญเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่เน้นรับคอนเทนต์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ หรือวิทยุ แต่ปัจจุบันกลับใช้เวลาอยู่ในโลกออนไลน์วันละหลายชั่วโมง นั่นทำให้การตลาดออนไลน์มาแรงเสียจริง ๆ และสำหรับวิธียอดนิยมต้องยกให้การทำ SEO หรือการปรับเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับต้น ๆ ของ Search Engine แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำ SEO ซึ่งเป็นเหตุผลให้เว็บไซต์ตกอันดับอย่างน่าเสียดาย

ความเชื่อผิด ๆ ของการทำ SEO ที่ทำให้เว็บไซต์ไม่ติดอันดับเสียที

1.คิดว่าการใส่คีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ เป็นเรื่องดี
แม้ว่าคีย์เวิร์ดจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันเว็บไซต์ติดอันดับ แต่ถึงอย่างนั้นต้องมาพร้อมแนวทางถูกต้อง ตั้งแต่การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดตรงตามกลุ่มเป้าหมาย การเลือกใช้ทั้งคีย์เวิร์ดสั้น คีย์เวิร์ดยาว และคีย์เวิร์ดใกล้เคียง โดยการใส่คีย์เวิร์ดมากเกินไป ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดี เพราะอาจทำให้ Search Engine มองว่าเป็นสแปมก็ได้

2.คัดลอกคอนเทนต์จากเว็บไซต์อื่น
คอนเทนต์คุณภาพนับเป็นหัวใจสำคัญอันดับต้น ๆ ของการทำ SEO เลยก็ว่าได้ แต่ปัญหาที่ทำให้คะแนนเว็บไซต์ไม่ดีขึ้นคือการคัดลอกคอนเทนต์จากเว็บไซต์อื่น โดยวิธีนี้อาจทำให้ถูกแบนจาก Search Engine วิธีที่ถูกต้องจึงควรครีเอทบทความใหม่ และอย่าลืมให้ความสำคัญเรื่องความยาวคอนเทนต์ที่ไม่ควรสั้นหรือยาวจนเกินไป

3.ไม่ทำลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่น
หลายคนเกรงว่าการทำลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่นจะทำให้ลูกค้าคลิกออกจากเว็บไซต์คุณไปอย่างง่าย ๆ ซึ่งแม้ว่าจะใช่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรทำลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่นไว้บ้าง เพราะจะทำให้ลูกค้าเห็นว่าการเข้ามายังเว็บไซต์คุณนั้นมีประโยชน์และมีโอกาสกลับมาใช้บริการซ้ำ

4.Backlink ยิ่งเยอะ ยิ่งดี
แม้ว่าการถูกคลิกผ่าน Backlink จะช่วยเพิ่มจำนวนยอดเข้าชมของเว็บไซต์ได้ แต่หากเป็นการฝากลิงก์ในเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องและฝากลิงก์มากเกินไป Search Engine มีโอกาสตรวจจับได้ว่าเป็นสแปมและทำให้เว็บไซต์คุณไม่ถูกแสดงในหน้าการค้นหาอีกเลย

5.ยอดขายปังแน่ ถ้าติดหน้าแรก Search Engine
แม้ว่าเหตุผลการทำ SEO คือทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ของ Search Engine เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือและมีคนเห็นจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้การันตีว่ายอดขายจะดี เพราะอย่าลืมว่ายังมีปัจจัยอื่น เช่น ราคา คุณภาพ ความคุ้มค่า โดยควรคำนึงเสมอว่าการทำ SEO คือการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่ควรทำควบคู่กับการพัฒนาสินค้าไปด้วย

ใครที่ยังเข้าใจการทำ SEO แบบผิด ๆ หรือผลักดันเว็บไซต์เท่าไหร่อันดับก็ไม่ขยับไปไหนเสียที เห็นทีต้องปรับแนวทางเสียใหม่และอย่าลืมระมัดระวังเกี่ยวกับความเข้าใจผิดทั้ง 5 เรื่องนี้ ซึ่งรับรองว่าจะช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดีขึ้นและไม่ถูก Search Engine แบนอย่างแน่นอน

post

แนะนำเทรนด์การทำ SEO ปี 2021 รับรองติดหน้าแรก Google แน่นอน

อย่างที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่า ‘Google’ เป็น Search Engine ที่ไดรับความนิยมมากที่สุดในไทย เนื่องจากใช้งานง่าย ค้นหาเป็นภาษาไทยได้ และมีการพัฒนาเทคโนโลยีให้ล้ำสมัย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลาย ๆ ธุรกิจที่มีการทำการตลาดออนไลน์พยายามปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ของตัวเองให้ถูกต้องตามหลักการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อให้หน้าเว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ หรืออย่างน้อยหน้าแรกในการค้นหาด้วยคำค้นที่กำหนดไว้ แต่เทรนด์การทำ SEO ปี 2021 จะมีอะไรปรับเปลี่ยนไปจากเดิมบ้างนั้น วันนี้เรามีคำตอบมาฝาก

Featured Snippets
ความหมายของ Featured Snippets คือ การอันดับที่ก่อนอันดับ 1 หรืออันดับ 0 ทำให้ลำดับนี้มีชื่อเรียกว่า Rank Zero โดยเป็นตำแหน่งที่มีเนื้อหาที่ผู้ใช้งานต้องการมากที่สุด สำหรับวิธีที่จะให้เว็บไซต์ติดลำดับ 0 นั้นทางเว็บไซต์ควรทำให้เว็บไซต์ของตัวเองติดหน้าแรกอยู่เสมอและพยายามใช้คีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงหรือหลากหลาย ซึ่งข้อดีของการติดลำดับนี้จะเพิ่มอัตราการเข้าชมและสร้างความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์

Google “E-A-T”
สำหรับความหมายของคำว่า Google “E-A-T” เป็นการแสดงเนื้อหาตามที่ Google ต้องการ คำว่า E คือ Expertise แปลว่าความเชี่ยวชาญ A คือ Authoritativeness แปลว่าความเป็นเจ้าของ และ T คือ Trustworthiness แปลว่าความน่าเชื่อถือ โดยรวมแล้วจึงหมายความว่าเว็บไซต์ต้องมีความถูกต้อง เป็นข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ และเป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งเว็บไซต์ที่ได้เข้าข่ายกรณี Google “E-A-T” จะเป็นเว็บไซต์ประเภทที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวัน

Search Intent
ปัจจุบันการสร้างคีย์เวิร์ดอาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของการทำ SEO แต่ต้องดูว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่ดูคอนเทนต์แบบไหนมากที่สุดจากคำค้นเดียวกัน ซึ่งนอกจากบทความที่หลายคนคุ้นเคยแล้ว ยังสามารถสร้างคอนเทนต์ประเภทวิดีโอ รูปภาพ เสียง ก็ได้ เพราะฉะนั้นหากเลือกใช้คอนเทนต์ได้ตรงตามความต้องการของคนทั่วไป ก็จะทำให้เพิ่มอันดับของเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น

Voice Search
ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลนี AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ จึงทำให้การค้นหาด้วยเสียงมีความสำคัญขึ้น ซึ่งขณะนี้เริ่มมีการพัฒนาให้ใช้กับภาษาไทยได้แล้ว ทำให้มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตจะมีการใช้งาน Voice Search มากขึ้น ดังนั้นการปรับเนื้อหาของเว็บไซต์ให้สามารถค้นหาด้วย Voice Search ได้ จะช่วยเว็บไซต์ติดอันดับที่ดีได้ สำหรับวิธิทำเว็บไซต์ให้รองรับการใช้งาน Voice Search สามารถทำได้โดยการเขียนบทความเชิงภาษาพูด วิเคราะห์คีย์เวิร์ดในกลุ่ม Voice Search สร้างหน้าคำถาม FAQ มากกว่า 1 หน้า ศึกษาการใช้งานแอปพลิเคชันเสียง และที่สำคัญควรศึกษาเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Voice Search จาก Google โดยละเอียด

และนั่นก็คือความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับเทรนด์การทำ SEO ปี 2021 ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากปรับปรุงคอนเทนต์ต่าง ๆ ให้ทันสมัยเข้ากับเทคโนโลยีแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เจ้าของเว็บไซต์ควรให้ความสำคัญคือ ข้อกำหนดของ Google ในการปรับปรุงเว็บไซต์ เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกใน Google ได้ง่ายขึ้นแล้ว

post

แชร์ 4 ข้อควรจำ ช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การทำ SEO ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งของการตลาดออนไลน์ที่นักธุรกิจออนไลน์หลายคนให้ความสำคัญ ยิ่งเราออกแบบเว็บไซต์และคอนเทนต์ SEO ได้ตามที่ Google ต้องการมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะติดอันดับบนหน้าการค้นหามากเท่านั้น ดังนั้น วันนี้เราจึงจะมาแนะนำ 4 ข้อควรจำไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจขายสินค้าหรือบริการประเภทไหนก็ตาม ซึ่งจะช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น

1) ใส่คีย์เวิร์ด SEO กระจายให้ทั่วถึงและหลายตำแหน่ง
หัวใจสำคัญของ SEO คงหนีไม่พ้นการใส่ “คีย์เวิร์ด” ให้เหมาะสม ควรใส่ในส่วนสำคัญต่าง ๆ ที่ “อัลกอริทึม” ของ Google จะมาเก็บข้อมูลเป็นอันดับแรก เช่น หัวข้อ-ชื่อเรื่อง, คำอธิบาย (Meta Description) และเนื้อเรื่องตามความเหมาะสมอย่างละ 2-3 ครั้ง ไม่ควรมากกว่านี้ เพื่อไม่ให้คอนเทนต์ของเราถูกมองว่าเป็น “สแปม” และยังจะสร้างความน่ารำคาญให้กับคนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราอีกด้วย

2) เลือกคีย์เวิร์ดให้ดีก่อนใช้
การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมนั้น ควรผ่านการวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมช่วยวิเคราะห์คีย์เวิร์ด SEO เช่น Google search console เพื่อให้คอนเทนต์ต่าง ๆ ในเว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับมากขึ้น หรือเทคนิคง่าย ๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างการเลือกใช้คำสั้น ๆ ที่มีผู้นิยมใช้สืบค้นในช่องค้นหาของ Google การเลือกคำที่ผู้ใช้นิยมค้นหาจริงจะยิ่งช่วยเพิ่มโอกาสติดอันดับมากขึ้นนั่นเอง

3) เลือกคีย์เวิร์ดที่มีความจำเพาะเจาะจง
นักธุรกิจออนไลน์บางคนนิยมใช้คำสั้น ๆ ที่มีความหมายกว้าง ๆ เช่น รองเท้า, กระเป๋า, เสื้อผ้า ฯลฯ โดยหวังว่าจะเข้าถึงคนจำนวนมาก แต่ความเป็นจริงแล้ว เราควรใช้คีย์เวิร์ดที่มีความยาวประมาณหนึ่งและเฉพาะเจาะจง สามารถระบุกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน รวมถึงลักษณะของสินค้า เช่น “iphone 12 ราคา ล่าสุด 2020 เครื่องเปล่า”, “กางเกง ยีนส์ ขา สั้น 3 ส่วน ผู้หญิง”, “nike air max 270 ราคา ของ แท้” ฯลฯ เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการมากขึ้น

4) ใช้โปรแกรม Yoast SEO ประเมินคุณภาพของ SEO ที่เราทำ
นอกจากการใส่คีย์เวิร์ดให้เหมาะสมตาม 3 ข้อที่กล่าวมาแล้ว หากเว็บไซต์ใช้ระบบ WordPress เรายังต้องฝึกฝนการใช้งานโปรแกรม Yoast SEO เพื่อช่วยวิเคราะห์อย่างละเอียดอีกชั้นหนึ่งว่า คอนเทนต์หรือบทความ SEO ที่เราทำนั้นมีคุณภาพในระดับใด สามารถแข่งขันกับบทความอื่น ๆ ในหมวดเดียวกันที่ออนไลน์อยู่แล้วได้หรือไม่ เพื่อช่วยให้เราสามารถวางแผนและปรับปรุงเนื้อได้ตามความเหมาะสมนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้คีย์เวิร์ด SEO จากทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมานี้ ยังเป็นเพียงแค่กลยุทธ์พื้นฐานของการทำ SEO เท่านั้น เพราะนอกจากทั้ง 4 ข้อนี้แล้ว การออกแบบเว็บไซต์ในเชิงเทคนิคก็ยังมีความสำคัญไม่แพ้กัน เช่น การดาวโหลดข้อมูลที่รวดเร็ว ไม่ล่มบ่อย รวมถึงใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อนจนผู้ใช้ไม่อยากกลับเข้ามาใช้บริการอีก ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับง่ายขึ้นทั้งสิ้น

post

เทคนิคการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ

การทำ SEO ถือว่าเป็นเรื่องพื้นฐานของเว็บไซต์ออนไลน์ไปแล้ว หากไม่ทำจะขาดประสิทธิภาพในการแข่งขันทางการค้ากับคู่แข่งได้ เพราะมีโอกาสน้อยที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะค้นเจอบทความและสินค้าที่น่าสนใจในเว็บไซต์ของคุณ

เรามาดูกันว่าเทคนิคในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จมีอะไรบ้าง

1.สร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจน
เว็บไซต์ของคุณควรมีเนื้อหาที่นำเสนอเป็นแนวทางใดแนวทางหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพื่อทำให้ผู้ที่เข้ามาหาข้อมูลทั้งเชิงลึกและเชิงกว้างได้รับความรู้และความประทับใจมากที่สุด และทำให้จดจำแบรนด์ได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น จะทำเว็บไซต์ของบริษัทท่องเที่ยวไปญี่ปุ่น ก็ควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นได้ละเอียดมากที่สุด ทั้งเรื่องอาหารการกิน ศิลปะวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยว การจองตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น จะทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมีความเชื่อมั่นในแบรนด์และเลือกใช้บริการเป็นเจ้าประจำ และยังช่วยบอกต่อ เป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่จากลูกค้าเดิมได้

2.ทำ SEM ควบคู่กับ SEO
เนื่องจากการทำ SEO ต้องใช้เวลาในการสะสมข้อมูลนานหลายเดือน โดยเฉพาะธุรกิจที่แข่งขันกันสูง เช่น สินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง ฯลฯ หากต้องการสร้างชื่อเสียงของเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว ต้องใช้การประชาสัมพันธ์แบบอื่นช่วยด้วย นั่นคือ SEM หรือ search engine marketing เช่น การเช่าพื้นที่โฆษณา การประชาสัมพันธ์ผ่าน facebook ฯลฯ จะทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้เร็วยิ่งขึ้น และเพิ่มฐานกลุ่มลูกค้าประจำและลูกค้าใหม่ให้กว้างขึ้นในเวลารวดเร็ว ทั้งนี้ การทำ SEM ยังเหมาะกับการนำเสนอโปรโมชั่นเป็นระยะ เพื่อกระตุ้นยอดการขายสินค้าและบริการด้วย

3.การใส่คีย์เวิร์ด SEO ที่มีคุณภาพ
คีย์เวิร์ด SEO เป็นสิ่งจำเป็นในการเพิ่มโอกาสมองเห็นบทความ เพราะหากเลือกคำที่ตรงกับความสนใจของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสแบ่งปันต่อและเกิดความสนใจสั่งซื้อสินค้าและบริการมากขึ้นเท่านั้น โดยควรใส่คีย์เวิร์ด SEO ในส่วนหัวเรื่อง meta description บทย่อ คำนำ สารบัญ เนื้อหา สรุป ให้ครบถ้วน และอาจแบ่งเป็นคีย์เวิร์ด SEO ชนิดหลักและรอง เพื่อสร้างความหลากหลายของเนื้อหาด้วย

4.มีพื้นที่ให้รีวิว
ลูกค้าใหม่มักลังเลที่จะใช้บริการแบรนด์ใหม่ ๆ หากมีการรีวิวสินค้าจากลูกค้าเก่าหรือให้คนมีชื่อเสียงในโลกออนไลน์ทดลองและรีวิวสินค้า ก็จะเพิ่มโอกาสขายได้มากขึ้น เพราะจะเกิดความมั่นใจในการสั่งซื้อและใช้ตามมากขึ้นหลายเท่าตัว ทั้งนี้ควรเตรียมงบประมาณไว้เป็นต้นทุนทำการตลาดด้านรีวิวสินค้าอีกส่วนหนึ่งด้วย

จะเห็นได้ว่า เทคนิคที่กล่าวมาทั้ง 4 ข้อนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้เว็บไซต์จำนวนมากสามารถสร้างชื่อเสียงได้ในเวลาอันสั้นและมียอดขายที่สูงหลักล้านบาทในเวลาอันรวดเร็ว หวังว่าจะทำให้ผู้อ่านได้เห็นแนวทางนำไปปรับใช้เพื่อพัฒนาแบรนด์ของตัวเองให้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นต่อไป