post

5 ข้อดีของ SEO มีดีอะไรมากกว่าแค่ดันอันดับเว็บ

เมื่อพูดถึง SEO ทุกคนคงพุ่งประเด็นไปที่การดันอันดับเว็บไซต์ให้แสดงในผลลัพธ์ลำดับต้น ๆ ของหน้าการค้นหาเพียงอย่างเดียว จริงอยู่ที่ว่าการพัฒนาอันดับเว็บให้สูงขึ้นเป็นเป้าหมายหลักของการทำ SEO แต่ในความเป็นจริงแล้ว SEO มีประโยชน์ในแง่มุมอื่นอีกหลายด้านที่สามารถส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจได้เป็นอย่างดี ดังนั้นบทความในวันนี้จะพาทุกคนไปปรับมุมมองที่มีต่อ SEO และทำให้ทุกคนรู้จักเครื่องมือทางการตลาดชิ้นนี้มากขึ้น

  1. เพิ่ม Traffic ให้กับหน้าเพจ

การมี Traffic เยอะหมายถึงการมีคนเข้ามาเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์เป็นจำนวนมาก ซึ่งหากจะเปรียบเทียบให้เห็นชัด สิ่งนี้เหมือนการที่คุณเปิดหน้าร้านแล้วมีคนเดินผ่านไปมา แวะเวียนเข้ามาชมสินค้าจำนวนมากนั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย เพิ่มโอกาสที่คนจะซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านของเรา เป็นการเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่เข้ามาในระบบอีกด้วย

  1. การลงทุนการตลาดที่คุ้มค่า

การทำ SEO เป็นการตลาดออนไลน์ที่ใช้ต้นทุนไม่สูงมากเมื่อเทียบกับแนวทางอื่น ๆ จึงนับเป็นการใช้งบประมาณด้านการโฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น SEO ยังมีหลายช่องทางในการพัฒนา แม้แต่เครื่องมือที่ทำได้ด้วยตนเองแบบฟรี ๆ ยังมีให้เลือกใช้ จึงมีทางเลือกในการพัฒนาที่หลากหลาย แถมทำครั้งเดียวยังส่งผลดีต่อตัวแบรนด์ในระยะยาวอีกด้วย

  1. ทำให้คนรู้จักแบรนด์มากขึ้น

การทำ SEO สามารถส่งผลให้คนรู้จักกับตัวตนของแบรนด์มากขึ้น ลูกค้ารับรู้การมีอยู่ของแบรนด์ และช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาดได้เป็นอย่างดี ซึ่งในวงการการตลาด เราเรียกสิ่งนี้ว่า การสร้าง Brand Awareness ลองนึกภาพ      แบรนด์ที่เห็นแค่ชื่อหรือโลโก้ ทุกคนจะนึกภาพของสินค้าหรือบริการออกทันที สิ่งนี้สามารถสร้างได้ด้วยการทำ SEO เช่นกัน

  1. สร้างความน่าเชื่อถือ

การมีการเคลื่อนไหวบนโลกออนไลน์ เช่น มีการทำคอนเทนต์ใหม่ ๆ มีการเพิ่ม backlink อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่ขั้นตอนของ SEO ที่ใช้ในการดันอันดับขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ลูกค้าเห็นแบรนด์ในท้องตลาดมาดขึ้น รู้ว่าแบรนด์มีการพัฒนาและพยายามดำเนินกิจกรรมส่งเสริมลูกค้าอยู่อย่างสม่ำเสมอ สิ่งนี้จะสามารถใช้สร้างความเชื่อมั่นในสายตาลูกค้าได้เป็นอย่างดี

  1. ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กมีที่ยืน

บางธุรกิจมีบริษัทเจ้าใหญ่ที่ครอบครองตลาดในสัดส่วนสูงมาก เมื่อมีธุรกิจรายย่อยหรือธุรกิจขนาดเล็กก้าวเข้ามามีบทบาท ความสามารถในการแข่งขันกลับต่ำมาก จนไม่มีวันเอาชนะแบรนด์ใหญ่ได้ แต่การทำ SEO สามารถทำให้ แบรนด์เล็กแย่งพื้นที่ในสื่อออนไลน์มาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้มีอัตราการแข่งขันสูงขึ้นนั่นเอง

ทุกคนคงเห็นภาพกันมากขึ้นแล้วว่า SEO ส่งผลดีขนาดไหนต่อธุรกิจ การทำ SEO นอกจากจะมีประโยชน์มากมายแล้ว ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับธุรกิจหลากหลายประเภท และมีข้อจำกัดค่อนข้างน้อย หากผู้ประกอบการท่านใดยังไม่เริ่มต้นทำ SEO ควรจะพิจารณาเลือกอุปกรณ์ทางการตลาดชิ้นนี้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาแบรนด์ได้เลย 

post

5 เคล็ดลับ ในการเลือกคีย์เวิร์ด SEO ให้มีประสิทธิภาพ

การทำการตลาดออนไลน์ที่ดีต้องมีการคำนึงถึงความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าเป็นหลัก โดยหนึ่งในการตลาดที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันคือการทำ SEO โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มอันดับการค้นหาบนโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะนำไปสู่การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กำลังนั่งเสิร์จหาข้อมูลสินค้าอยู่ที่บ้าน และยังทำให้เว็บไซต์ธุรกิจติดอยู่บนลำดับต้น ๆ ของผลการค้นหาใน Google อีกด้วย สิ่งนี้เป็นกลยุทธ์ที่อาจจะตัดสินว่า SEO จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวคือการเลือกใช้คีย์เวิร์ด ดังนั้นวันนี้เราจะนำเคล็ดลับในการเลือกคีย์เวิร์ดที่ทำให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมาแนะนำให้ผู้อ่านได้ศึกษากัน

  1. เลือกคีย์เวิร์ดที่สอดคล้องกับธุรกิจ

โดยต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับธุรกิจที่ต้องการนำเสนอ และควรเป็นคำที่มีมีการค้นหาบ่อย ๆ หรือเรียกว่ามี Search Volume ปริมาณมาก ไม่ใช่เลือกใช้คำที่ไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจ 

  1. ใส่คำบรรยายสินค้าและบริการที่ต้องการนำเสนอ

ใส่คำที่แสดงถึงการให้บริการที่มีความเจาะจง โดยเชื่อมโยงกับความต้องการของลูกค้าที่เฉพาะเจาะจงขึ้น เช่น ธุรกิจคือร้านอาหารที่มีลานจอดรถ แทนที่จะใช้คีย์เวิร์ดว่า “ร้านอาหาร” อย่างเดียว การเลือกใช้คีย์เวิร์ดว่า “ร้านอาหาร มีที่จอดรถ” จะสามารถทำให้ลดจำนวนคู่แข่งและตรงตามความต้องการของลูกค้าที่กำลังค้นหาข้อมูลมากกว่าการใช้คำแบบธรรมดาทั่วไป 

  1. คีร์เวิร์ดที่ลูกค้าจะค้นหาเพื่อหาข้อมูลก่อนซื้อสินค้าและบริการ

สิ่งนี้เป็นอีกเทคนิคที่น่าสนใจ โดยต้องคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าที่จะค้นหาบนอินเตอร์เน็ตด้วยคำถามหรือข้อสงสัย ที่จะถูกใช้เพื่อหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ สามารถยกตัวอย่างได้ดังนี้ หากลูกค้าต้องการหาซื้อรองเท้าปีนเขา สามารถเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เป็นคำถาม เช่น “รองเท้าปีนเขา ยี่ห้อ ไหนดี” วิธีการแบบนี้จะทำให้เว็บไซต์มีโอกาสไต่อันดับการค้นหาที่สูงขึ้นได้

  1. เพิ่มคำเจาะจงสถานที่เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายในท้องถิ่น

หลายครั้งผู้ที่มองหาสินค้าหรือบริการ จะตัดสินใจเลือกใช้สิ่งที่อยู่ในพื้นที่ที่ต้องการด้วยเช่นกัน ดังนั้นการเพิ่มคำค้นหาที่ระบุพิกัดหรือตำแหน่งของร้านค้าลงไปจะช่วยทำให้ดึงดูดกลุ่มลูกค้าในท้องถิ่นมากขึ้น และจะทำให้อันดับการค้นหาของกลุ่มเป้าหมายในท้องถิ่นสูงขึ้นอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจฟิตเนสที่มีสาขาอยู่ในเขตพญาไท สามารถเลือกใช้คีย์เวิร์ดว่า “ฟิตเนส พญาไท” ซึ่งคีย์เวิร์ดแบบนี้จะช่วยจำกัดกลุ่มลูกค้าที่แคบลงมาและตรงจุดกว่านั่นเอง 

  1. ใช้คีย์เวิร์ดอย่างมีประสิทธิภาพ

อีกหนึ่งจุดที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะถึงแม้จะเลือกใช้คีย์เวิร์ดได้ดีขนาดไหน แต่ถ้าไม่มีวิธีการนำเสนอข้อมูลที่เหมาะสมและถูกกล่าวถึงในเนื้อหาที่ดี จะไม่สามารถทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากตามที่ต้องการ ซึ่งจะถือได้ว่าการทำ SEO ไม่ประสบความสำเร็จนั่นเอง ดังนั้นการสร้างเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่เลือกใช้และต้องตอบคำถามในใจของผู้ค้นหา นับเป็นหัวใจสำคัญในการทำ SEO เช่นกัน นอกจากนั้นยังต้องมีการอัพเดทเนื้อหาให้มีความทันสมัยและมีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ

จะเห็นว่าหากอยากทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพและมียอดการค้นหาปัง ๆ การใส่ใจเลือกคีย์เวิร์ดที่ดี ควบคู่ไปกับการจัดแต่งเว็บไซต์เพื่อรองรับการค้นหาจากลูกค้าบนโลกออนไลน์จัดเป็นกุญแจไปสู่เป้าหมายในการทำการตลาดออนไลน์ด้วย SEO ดังนั้นการจะตัดสินใจเลือกใช้คีย์เวิร์ดคำไหนต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบและคิดวิเคราะห์อย่างรอบด้าน อาจจะต้องลองจินตนาการ มองภาพการค้นหาในมุมของลูกค้าและอย่าลืมนำเทคนิคต่าง ๆ ที่ได้ศึกษาในวันนี้ไปประยุกต์ใช้

post

บอกเหตุผลสุดปังทำไมต้องทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหา

ไม่ว่าจะเป็นการทำเว็บไซต์ผลิตภัณฑ์หรือบริการประเภทใด การติดอันดับเว็บไซต์ต้น ๆ ในหน้าการค้นหาถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องด้วยมีประโยชน์หลากหลายอย่าง หลาย ๆ คนลงทุนกับโฆษณาในการโปรโมทเว็บไซต์เพื่อให้เว็บไซต์ได้ติดอันดับการค้นหาด้วยงบประมาณที่สูง เนื่องจากต้องการให้เว็บไซต์เป็นในทิศทางที่ต้องการ ตามไปดูกันว่าทำไม SEO จึงมีความสำคัญอย่างมากต่อแบรนด์และธุรกิจของคุณ 

  • การติดอันดับการค้นหาในหน้าการค้นหาต้น ๆ จากวิธีการที่มีการกดค้นหามาจากเว็บไซต์การค้นหาช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้ารับชมเว็บไซต์มากขึ้น เนื่องด้วยผู้คนมักจะกดเข้าไปรับชมเว็บไซต์ที่ขึ้นมาในหน้าการค้นหาต้น ๆ ก่อนแทนที่จะกดลำดับหน้าถัดไป ทำให้เว็บไซต์ได้ผ่านตาแก่กลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นนั่นเอง
  • มากไปกว่านั้นการทำ SEO ยังช่วยในการเพิ่มยอดขายให้กับผลิตภัณฑ์และสินค้าที่วางจำหน่ายอยู่ในเว็บไซต์ของทางแบรนด์ นั่นก็เป็นเพราะว่าเมื่อมีการกดเข้ารับชมเว็บไซต์จากหน้าการค้นหาแล้ว ถ้าตัวเนื้อหาภายในเว็บไซต์มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้บริโภค โดยสามารถที่จะดึงดูดและตอบโจทย์ของผู้ที่เข้ามารับชมได้ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของสินค้าและบริการนั้น ๆ อยู่แล้วก็ทำให้เพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้น ทั้งนี้อย่างที่เราทราบกันดีว่าการทำ SEO จะมีการอัปเดตเนื้อหาข้อมูลภายในเว็บไซต์อยู่เสมอ รวมทั้งการใส่รูปภาพ วิดีโอที่มีความเกี่ยวข้อง สวยงามและน่าสนใจ เนื้อหาภายในเป็นเนื้อหาที่มีการเรียบเรียงและเขียนมาใหม่ซึ่งสอดคล้องกับคีย์เวิร์ดหรือคำสำคัญในการค้นหา จึงเป็นข้อดีอย่างมากเมื่อมีการกดเข้ามารับชมเว็บไซต์
  • ช่วยสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ข้อนี้ก็ถือเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ควรทำ SEO อย่างยิ่ง การที่แบรนด์เป็นที่รู้จักของผู้คนมากขึ้นก็เป็นเสมือนการขยายฐานลูกค้าอย่างหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นการทำการตลาดที่มีความคุ้มค่ามาก ๆ แม้ว่าในการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการในครั้งแรกนั้นทางผู้บริโภคอาจไม่ได้เลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากเว็บไซต์ของเราแต่เมื่อแบรนด์เป็นที่รู้จัก มีการพบเห็นอยู่บ่อยครั้งเมื่อกดค้นหาด้วยคำสำคัญในหน้าการค้นหา เมื่อจะมีการซื้อสินค้าหรือบริการในครั้งถัด ๆ ไป ก็จะเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการได้เช่นกัน 

ข้อมูลเกี่ยวกับ SEO ทั้งหมดข้างต้นถือเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญและเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำเว็บไซต์และเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ทุกคนคงทราบแล้วว่าทำไมการทำ SEO จึงมีความสำคัญ โดยถือเป็นจุดเริ่มต้นและวิธีการที่ดีมีประสิทธิภาพต่อเว็บไซต์ของคุณอย่างแท้จริง

post

ลองทำ SEO ด้วยตัวเองดีไหม หรือจ้างมืออาชีพต่อไป

ในปัจจุบันเว็บไซต์ธุรกิจจ้างบริษัทรับทำ SEO หรือฟรีแลนซ์ที่มีความเชี่ยวชาญมาช่วยปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณภาพดีขึ้น ด้วยหวังว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา ส่งผลให้เว็บไซต์ติดอันดับดีๆ ในการค้นหาบน Google ทำให้มีโอกาสขายสินค้าหรือบริการเพิ่มมากขึ้น แต่เป็นเพราะค่าใช้จ่ายที่สูงและต้องใช้เวลานานระยะหนึ่งกว่าที่การทำ SEO จะแสดงผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ส่งผลให้ค่าจ้างแพงเกินงบประมาณจนทำให้ธุรกิจขนาดเล็กรับมือไม่ไหวจนถึงขนาดตั้งคำถามกับตัวเองว่าถ้าเริ่มเรียนรู้ลองทำเองจะเป็นได้ไหม

จ้างบริษัท SEO มีข้อดีอย่างไร

ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจขนาดเล็กมักมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณน้อย จึงเป็นธรรมดาที่สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการรายย่อยไม่มีเงินมากพอจ้างบริษัทรับทำ SEO แต่ถ้าลองประเมินข้อดี-ข้อเสียแล้ว ย่อมเห็นถึงความคุ้มค่าของการลงทุนจ้างบริษัทที่มีประสบการณ์มาช่วยปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในด้านการตลาดออนไลน์ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจประสบความสำเร็จเร็วขึ้น ถ้าธุรกิจในวันนี้ยังต้องโฟกัสกับการขยายตัวเป็นหลัก ควรจ้างบริษัทมืออาชีพทำ SEO ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้ตนเองได้โฟกัสกับธุรกิจอย่างเต็มที่

เหตุผลที่การจ้างบริษัทรับทำหรือที่ปรึกษาด้าน SEO เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเนื่องจากความเชี่ยวชาญของมืออาชีพทำให้เห็นผลลัพธ์รวดเร็วกว่าการทำด้วยตัวเองและช่วยให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนด้วย ข้อดีคือบริษัทรับทำ SEO ทำงานด้านนี้ทุกวันจึงมีประสบการณ์และรู้วิธีการใหม่ๆ เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ให้ดีที่สุด ถ้ามีงบประมาณไม่มากพอ สามารถจ้างเป็นรายชั่วโมง รายเดือน หรือจ้างให้ช่วยออกแบบปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดีขึ้นครั้งเดียวโดยไม่จำเป็นต้องผูกมัดในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การทำ SEO เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องไม่มีหยุดเพื่อรักษาอันดับที่ดีไว้ทำให้เสียค่าใช้จ่ายต่อไปเรื่อยๆ จึงเป็นธรรมดาที่หลังจากจ้างมืออาชีพมาช่วยในช่วงเริ่มต้นจนผ่านไประยะหนึ่งแล้วเจ้าของธุรกิจพบว่าค่าใช้จ่ายสูงเกินรับมือไหว หากไม่มีงบประมาณมากพอที่จะจ้างต่อไปจริงๆ คิดว่าจะลงมือทำด้วยตัวเองเพื่อลดค่าใช้จ่ายก็ลองดูได้ไม่เสียหายอะไร ค่อยๆ เรียนรู้และปรับปรุงกันไป

ทำ SEO ด้วยตนเองดีอย่างไร

ในกรณีที่การจัดการธุรกิจค่อนข้างอยู่ตัวแล้ว ลองเรียนรู้การทำ SEO ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยเจ้าของธุรกิจย่อมเข้าใจจุดแข็ง-จุดอ่อนของตนเองดีที่สุด และนำเสนอข้อมูลให้ถูกใจลูกค้าเป้าหมายและมีโอกาสที่จะขายสินค้าได้มากขึ้น ช่วงเริ่มต้นที่จ้างบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญมาช่วยวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าหรือบริการโดยเฉพาะมีความสำคัญมาก เพราะผู้เชี่ยวชาญจะมีความเข้าใจในเชิงลึกและเลือกคีย์เวิร์ดที่มีการค้นหาสูงช่วยให้ตัดสินใจได้ถูกต้องว่าควรใช้คีย์เวิร์ดแบบไหนดี แต่คีย์เวิร์ดนั้นไม่ได้ใช้ต่อเนื่องไปตลอด ต้องติดตามสำรวจพฤติกรรมและความสนใจของลูกค้าที่อาจเปลี่ยนไปจากเดิม หากต้องการลองทำ SEO ด้วยตนเอง สิ่งแรกที่จำเป็นคือการเลือกคีย์เวิร์ดให้เป็นโดยใช้ Keyword Planner ของ Google หรือโปรแกรมดูสถิติอื่นๆ ที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทำให้มีโอกาสติดอันดับแรกๆ อย่างต่อเนื่องรวมทั้งเขียนบทความให้รองรับกับ SEO อย่างเหมาะสมจะประหยัดมากกว่าและเห็นผลได้เร็วด้วย

post

ทำไมการทำ SEO ในช่วงที่คนกำลังนิยม Work Form Home ถึงสำคัญ

จากการมาถึงของ COVID-19 ที่ตอนนี้ได้เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบชีวิตของเราทุกคนไปหมด จากทุกอย่างที่ต้อง On-site เปลี่ยนมาเป็น Online เกือบ 100% และถึงแม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่กระแสของคนที่ต้องการทำงานแบบ Work From Home ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่หายไปไหน แล้วรู้หรือไม่ว่าจากผลของกระแส WFH นั้นเป็นอะไรที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำ SEO ของธุรกิจแบบสุด ๆ ด้วย

1. คนหันมา Search กันมากขึ้น จากผลของ COVID-19 ที่ทำให้ทุกคนต้องมาติดอยู่กับบ้าน จะกิน จะนอน จะทำงาน ทุกอย่างแทบจะออนไลน์กัน 100% ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดพฤติกรรมการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ กับการติดการใช้งาน Search Engine อย่าง Google กันมากขึ้น โดยเฉพาะกับการใช้เพื่อค้นหาสินค้าและบริการของธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะซื้อจะใช้อะไร คนก็จะใช้ Google หาให้เสมอ นั่นหมายความว่าถ้าอยากให้ลูกค้าหาเราเจอ เราก็ต้องทำ SEO ให้เว็บไซต์ธุรกิจขึ้นมาติดอันดับให้ได้

2. ปลาเร็ว กินปลาช้า หมดยุคปลาใหญ่กินปลาเล็กแล้ว จากผลของการเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้าที่ต้องการอะไรที่รวดเร็ว ทันใจ ตอบโจทย์ ถ้าใครที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบกว่าและทำได้ไวกว่าลูกค้าก็จะเลือกธุรกิจนั้น นั่นหมายความว่าธุรกิจของเราจะต้องสามารถปรับตัวได้เร็วและจับลูกค้าได้ไว โดยเฉพาะกับลูกค้าที่ WFH อยู่บ้านและหาทุกอย่างผ่านการ Search

3. ทุกอย่างจบที่หน้าจอ เพราะเทคโนโลยีที่เปลี่ยนให้คนสามารถทำงาน WFH หรือทำที่ไหนก็ได้สบาย ๆ จนแทบจะจบทุกเรื่องงานที่หน้าจอที่บ้านตัวเองได้เลยไม่ต้องออกไปไหน รวมไปถึงการซื้อสินค้าและบริการด้วย ที่ลูกค้าจะคุ้นชินกับการซื้อของออนไลน์มากกว่าการไปที่หน้าร้านแล้ว สังเกตได้จากการโตขึ้นของธุรกิจโลจิสติกส์ อย่างนั้นถ้าอยากให้ลูกค้ามาจบที่หน้าเว็บไซต์สินค้าของเรา เราก็ต้องทำ SEO

4. ต้นทุนการตลาดกับการประชาสัมพันธ์ เพราะการตลาดมีต้นทุน และถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ถ้าอยากจะเอาชนะคู่แข่งรายใหญ่ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง เราต้องใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและช่วยลดต้นทุนทางการตลาดของธุรกิจได้ ซึ่งนั่นก็คือการทำ SEO ที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า หรือไม่เสียเลยในกรณีที่คุณเป็นคนทำ SEO เองทั้งหมด

และทั้งหมดนั้นก็คือเหตุผลว่าทำไมธุรกิจออนไลน์ถึงควรจะต้องให้ความสำคัญกับการทำ SEO ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค WFH ที่ทุกอย่างแทบจะสามารถออนไลน์ได้ และถ้าไม่อยากตกขบวนกลายเป็นผู้แพ้ในตลาด ธุรกิจก็ต้องหันมาลุยกับการทำ SEO ให้เต็มที่

post

เทคนิคตั้งชื่อบทความสั้น ๆ แต่ติดอันดับได้ด้วย header tags seo

ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำงานเกี่ยวกับสื่อโซเชียลมีเดียมักต้องเข้าในกระบวนการทำ Search Engine Optimization หรือ SEO ทั้งสิ้น เพราะการทำ SEO คือ หัวใจหลักของการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับคอนเทนต์และนำไปสู่การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย/กลุ่มลูกค้า

header tags seo คืออะไร ?

“header tags as the table of contents inside a book.” seoptimer.com

“Header tags are HTML tags that tell a browser what styling it should use to display a piece of text on a webpage.”

searchenginejournal.com

“Headers (H1’s, H2’s, etc.) are pieces of HTML code that allow you to make certain words stand out on your page.” outerboxdesign.com

จากการให้คำนิยามของ header tags seo จากเว็บไซต์ Online Marketing ที่ติดอันดับบนหน้าแรกของ Google Search เรื่อง header tags สามารถสรุปได้ว่า header tags คือ ข้อความสำคัญที่จะบอกให้ผู้อ่านทราบว่าจะได้อ่านอะไร หรือกำลังจะได้ดูคอนเทนต์เกี่ยวกับอะไร

header tags สำคัญอย่างไรกับการทำ SEO ?

การตั้งชื่อคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพย่อมมีผลต่อความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย/กลุ่มลูกค้า ซึ่งการให้ความสำคัญกับ header tags ไม่เพียงแต่ทำให้กลุ่มเป้าหมาย/กลุ่มลูกค้าทราบว่ากำลังจะได้พบกับคอนเทนต์ที่กำลังตามหาหรือไม่ แต่ยังมีส่วนช่วยให้คอนเทนต์มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะช่วยในการจัดลำดับความสำคัญและช่วยเรียบเรียงเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอ รวมถึงช่วยให้การทำงานของ Content Creator รวดเร็วมากขึ้น

รูปแบบการใส่ header tags ลงในคอนเทนต์

การจัดรูปแบบ header tags จะแบ่งตามลำดับขั้นของเนื้อหา โดยอาจแบ่งจากภาพรวมที่กว้างมาก ๆ และเรียงลำดับมาเป็นเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นก็ได้ หรือจะลำดับตามความสำคัญก็ได้ โดยเรียงจาก H1 , H2, H3, . . . หากใครที่ยังนึกไม่ออกว่าการใส่ header tags ต้องทำอย่างไร ในเว็บไซต์ของ thewhitemarketing.com ได้พูดถึงตัวอย่างโครงสร้างของการทำ header tags เอาไว้อย่างละเอียด ซึ่งเราสามารถสรุปให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ดังนี้

หัวข้อคอนเทนต์ << จุดประสงค์หลักของการสร้างคอนเทนต์ ควรมีความยาวไม่เกิน 55 ตัวอักษรและควรมีคีย์เวิร์ดหลักเพียง 1 คำ

คำอธิบายบทความ << บอกรายละเอียดคอนเทนต์อย่างย่อที่กลุ่มเป้าหมายจะได้จากคอนเทนต์นี้

Header tags H1 << หัวข้อเนื้อหาที่มีความสำคัญที่สุด หรือมีขอบเขตกว้างที่สุดและควรมีคีย์เวิร์ดหลักในหัวข้อด้วย

Header tags H2 << หัวข้อเนื้อหาที่มีความสำคัญรองจาก H1 และควรมีคีย์เวิร์ดรอง หรือ Longtails Keyword ในหัวข้อด้วย

สรุปใจความสำคัญ << ควรอยู่ส่วนท้ายของบทความเพื่อสรุปเนื้อหาสำคัญในแบบที่สั้นที่สุด

การตั้งชื่อคอนเทนต์ด้วยเทคนิค Header tags seo เป็นการทำสารบัญให้กับคอนเทนต์ โดยได้จากการทำ Keyword Research เพื่อดูว่ากลุ่มเป้าหมาย/กลุ่มลูกค้ากำลังมองหาอะไรและนำมาสร้างเป็นคอนเทนต์อย่างครอบคลุมที่สุด ซึ่งจะช่วยให้คอนเทนต์สามารถติดอันดับบน Search Engine ได้ง่ายและนานยิ่งขึ้น

post

การวัดผลประสิทธิภาพ SEO นอกเหนือจากหน้าเว็บไซต์คืออะไร

การทำ SEO คือการสร้างเนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้หน้าเว็บไซต์ของเราได้รับการจัดอันดับในตำแหน่งที่ดีของ Search Engine โดยวัตถุประสงค์ในการทำ SEO คือ

วัตถุประสงค์ในการทำ SEO

การจัดอันดับ (Ranking) นอกจากการจัดอันดับการค้นหาที่ดีของเว็บไซต์แล้ว การทำให้ผู้คนคลิกเข้ามาอ่านเนื้อหาของเว็บไซต์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน และการที่เว็บไซต์มีผู้มาเยือนเข้ามาอ่านหน้าเว็บบ่อย ๆ หรือสม่ำเสมอก็จะทำให้ผลการค้นหาอยู่ในอันดับที่ดีได้อย่างยั่งยืนกว่าการจ่ายเงินค่าโฆษณาเสียอีก

การสร้างความรับรู้ต่อแบรนด์สินค้า (Brand Awareness) เป็นการทำให้เว็บไซต์หรือแบรนด์ได้เป็นที่รู้จักของผู้คน และลูกค้า เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าหรือบริการ และช่วยสร้างมูลค่าที่ดีให้กับแบรนด์อีกด้วย

การเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Website Traffic) เป็นการเพิ่มโอกาสขายสินค้า และยังเป็นการทำตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ

การช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Visitor Targeting) เป็นการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายด้วยการสร้างคอนเทนต์ หรือสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ด้วยการใช้ Keyword ในบทความนั้น ๆ

อัตราการตอบโต้กับลูกค้า (Conversion Rate) อาจวัดผลจากยอดการเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับสินค้า ยอดการขายสินค้า ยอดของการกรอกแบบฟอร์ม หรือยอดการสมัครเข้าร่วมในธุรกิจตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้

การสร้างความน่าเชื่อถือ (Authority) การแสดงให้ทราบว่าแบรนด์มีความเชี่ยวชาญในสินค้าและบริการ เป็นวิธีที่ช่วยให้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือในสายตาของลูกค้าได้ดี ส่งผลให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกแบรนด์สินค้าได้ง่ายขึ้น

การช่วยให้แบรนด์เกิดการเติบโต (Business Growth) แบรนด์กลายเป็นที่รู้จัก หรือมียอดขายเพิ่มขึ้น ธุรกิจจึงเติบโตมากขึ้น

วิธีการวัดผลในการทำ SEO ประกอบไปด้วย

การวัดจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Number of Visitors) สามารถตรวจสอบได้ใน Category : Audience เพื่อตรวจสอบจำนวนการเข้าชม และจำนวนคนที่เข้าชมเว็บนั้น ๆ สามารถบ่งบอกถึงความนิยมของเว็บไซต์ และประสิทธิภาพของการทำ SEO ได้ดี

อัตราส่วนผู้เข้าชมเว็บไซต์ทั้งใหม่และเก่า (Ratio of New and Returning Visitors) Google Analytics จะนอกจากจะนับจำนวนผู้เข้าชมแล้ว ยังแสดงผลให้เห็นว่าผู้เข้าชมนั้นเป็นผู้เข้าชมใหม่ และเคยเข้ามาที่เว็บไซต์แล้วหรือไม่ ซึ่งการที่มีผู้กลับเข้ามาเยี่ยมชมหน้าเว็บซ้ำ (Returning Visitors) แสดงว่าเว็บไซต์นั้นสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้อ่านได้ดี

ระยะเวลาในการเข้าชมเว็บไซต์ (Session Duration) การพิจารณาว่าผู้ชมแต่ละราย อยู่ในหน้าเว็บไซต์นานเท่าใดเป็นการแสดงถึงประสิทธิภาพของคอนเทนต์ว่าสามารถดึงดูดผู้เข้าชม และสร้างปฏิสัมพันธ์ต่อพวกเขาได้ดีหรือไม่

จำนวนผู้ใช้งานที่มาจากการค้นหาบน Google แบบไม่เสียค่าโฆษณา (Number of Users from Organic SERPs) เป็นการค้นหาแบบ Organic Search ยิ่งมีผู้ใช้งานในลักษณะนี้มาก ยิ่งบ่งบอกว่าการทำ SEO นั้นได้ผลดี

ค่าเฉลี่ยเวลาที่ใช้ในการโหลดหน้าเว็บไซต์ (Average Speed) ระยะเวลาในการโหลดหน้าเว็บยิ่งนาน ยิ่งส่งผลเสียต่อทั้งผู้ใช้งาน และ Search Engine เพราะอาจทำให้พวกเขาออกจากหน้าเว็บได้ และอาจเปลี่ยนใจไปยังหน้าเว็บของคู่แข่งแทน หากผลการโหลดนาน ควรปรับปรุงให้ระยะเวลาการโหลดหน้าเว็บลดน้อยลงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

การวัดผล SEO ที่หลากหลายจะช่วยให้ผู้ที่ทำ SEO หรือเจ้าของเว็บไซต์นั้น ๆ สามารถทำการปรับปรุงแก้ไขเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพได้ดีมากยิ่งขึ้น เพิ่มโอกาสในการทำการตลาดที่ดีมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

post

On-page SEO สิ่งสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จ

การที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับการค้นหาใน google แบบมั่นคงและยาวนานนั้นต้องทำ SEO การทำ SEO นั้นมีหลายส่วน มาดูส่วนแรก ซึ่งเป็นพื้นฐานในการทำ SEO นั่นคือการทำ On-page SE0

SEO คืออะไร

SEO ( Search Engine Optimization ) คือ การออกแบบเว็บไซต์และเนื้อหาในเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับการค้นหาใน google ถ้าเว็บไซต์ของเราติดอันดับแล้ว ผู้คนก็จะมีโอกาสเห็นสินค้าของเราเป็นอันดับแรก ๆ ซึ่งทำให้มีโอกาสขายได้มากกว่า

On-page SEO คืออะไร

On-page SEO คือ การปรับแต่งโครงสร้างและเนื้อหาภายในเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งได้แก่

  1. เพิ่มความเร็วให้แก่เว็บไซต์ เว็บไซต์ต้องโหลดเร็ว การเพิ่มความเร็วให้แก่เว็บไซต์นั้นได้แก่
    • ใช้ cache โปรแกรมที่เก็บฐานผู้มูลผู้อ่านและส่งข้อมูลกลับไปยังผู้อ่านโดยไม่ต้องเสียเวลาประเมินฐานข้อมูล
    • ใช้ CDN เป็นกระบวนการที่เว็บไซต์ของเราถูกก็อปปี้และเตรียมไว้ใน server หลากหลายทั่วจุดทั่วโลก ผู้ใช้เว็บไซต์ของเราไม่ว่าจะมาจากมุมไหนของโลกก็สามารถอ่านเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว เพราะว่ามี server ไว้รองรับนั่นเอง
    • บีบอัดทุกอย่างให้เล็กลง ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพหรือวิดีโอ ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น
  2. มีเนื้อหาคุณภาพ ในเว็บไซต์จะมีบทความหรือเนื้อหาต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า Content เนื้อหาที่เอื้อต่อการทำ SEO มีดังนี้
    • ไม่ซ้ำกันกับเว็บไซต์อื่น หากคัดลอกบทความจากที่อื่นแล้วมาวางที่เว็บไซต์ google จะติดคำว่า duplicate content หรือเนื้อหาซ้ำกันให้กับเว็บไซต์ของเรา ทำให้เสียคะแนนและตกอันดับ และในเว็บไซต์ก็ไม่ควรมีเนื้อหาที่คล้ายกันเช่นเดียว ถ้ามีห้าบทความคล้าย ๆ กัน ควรทำให้เป็นหนึ่งบทความ
    • วาง keyword ให้กระจายตัวอย่างเป็นธรรมชาติในบทความ ไม่ควรใส่เยอะเกินไป เพราะการใส่ keyword เยอะนอกจากจะทำให้เนื้อหาไม่มีคุณภาพ อ่านไม่รู้เรื่องแล้ว google ยังมองว่าเป็นการ spam หรือโกง
      บทความควรมีอย่างน้อย 500 คำและตอบโจทย์ผู้อ่านได้ โดย google จะมองว่า ผู้อ่านใช้เวลาบนใ
    • เว็บไซต์ของเราสักครู่ก่อนปิดออกไป หรือเข้ามาในเว็บไซต์แล้วปิดหนีทันที ดังนั้นเนื้อหาควรมีความยาวพอประมาณ ดึงดูดความสนใจและตอบโจทย์ผู้อ่าน
  3. ใส่หัวข้อและคำอธิบายให้กับเนื้อหาหรือบทความ
    • ใส่ Title tag หรือหัวข้อให้กับเนื้อหาหรือบทความเพื่อทำให้ Google รู้ว่าเพจนี้คืออะไร มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอะไร ควรใส่ keyword และเขียนให้ดึงดูดความสนใจ เช่น ถ้าเราเขียนเกี่ยวกับ ร้านกาแฟที่มีต้นมะนาวล้อมรอบ ร้านกาแฟ คือ keyword อาจเขียนหัวข้อว่า
      “ ร้านกาแฟ ชามะนาว ใกล้ รพ. บางกอก ปลิดมะนาวสดๆ จากต้น ”
      ในหัวข้อ จะมีคำว่า ร้านกาแฟ
    • ใส่ Meta description หรือคำอธิบายสั้น ๆ บอกรายละเอียดในเนื้อหาหน้านั้น ๆ เพื่อให้คนท่องเว็บรู้ว่าเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร “ ร้านกาแฟ ชามะนาว ใกล้ รพ. บางกอก ปลิดมะนาวสดๆ จากต้น ”ร้านกาแฟตรงข้ามกับ รพ. บางกอก บรรยากาศร่มรื่น ล้อมรอบไปด้วยต้นมะนาว มีดนตรีสด อาหารอร่อยและเครื่องดื่มบริการ
      ที่ขีดเส้นใต้คือ Meta description นั่นเอง

เพื่อให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักมากขึ้น ควรทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของเรา การทำ SEO ส่วนที่สำคัญคือการทำ On-page SEO ซึ่งได้แก่ การทำให้เว็บไซต์โหลดเร็ว การมีบทความหรือเนื้อหาที่มีคุณภาพและไม่ซ้ำใคร การใส่หัวข้อและคำอธิบายให้กับเนื้อหา

post

Content สำคัญไฉน.. จะสร้างอย่างไรให้มีพลังดึงดูดผู้คนบนโลกออนไลน์

ธุรกิจบนโลกออนไลน์นั้น ใคร ๆ ก็รู้ดีว่ามีความท้าทายและเหนื่อยยากแค่ไหนกว่าที่จะสำเร็จตามเป้าหมายในแต่ละขั้นตอน เพราะโลกออนไลน์คือพื้นที่สาธารณะที่ใครจะมา จะไป หรือจะชักจูงคนรู้จักให้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์หรือเพจร้านค้าสามารถทำได้ตลอดเวลา นั่นหมายความว่าวิธีการที่จะดึงดูดให้คนที่ผ่านไปใครมาหยุด! อยู่ที่เว็บไซต์ของธุรกิจคือจะต้องมี Content ที่ดึงดูดใจหรือให้ประโยชน์ต่อผู้พบเห็นได้ วันนี้จะมาทำความเข้าใจกันว่า Content นั้นสำคัญไฉน จะสร้างอย่างไรให้มีพลังดึงดูดผู้คนบนโลกออนไลน์

Content แปลว่าเนื้อหา หมายถึงรูปแบบในการสื่อสารข้อมูล ประสบการณ์หรือความรู้ หรืออะไรก็ตามที่สามารถสื่อสารไปในช่องทางการสื่อสารที่มีให้ผู้อื่นรู้ว่าผู้ส่งสารต้องการจะสื่อสารอะไรให้กับผู้รับสาร โดยสามารถผลิตออกมาได้ในหลายรูปแบบ ทั้งบทความ คลิปวิดีโอ ภาพกราฟิกหรือแอปพลิเคชันใด ๆ โดยมากแล้ว Content บนโลกออนไลน์ที่คนได้ยินหรือเห็นกันบ่อยคือ Content ทางการตลาดเพราะต้องการจะสื่อสารให้ผู้รับสารได้รับรู้ตัวตนของแบรนด์ธุรกิจบนโลกออนไลน์ที่สามารถแพร่กระจายต่อให้คนอื่น ๆ รู้จักธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นธุรกิจจึงต้องใส่ใจในการผลิต Content ที่มีคุณภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจมากที่สุด ซึ่งจำเป็นจะต้องวางกลยุทธ์ในการผลิต Content อย่างเป็นขั้นตอนดังนี้

  1. รู้จักแบรนด์ของธุรกิจให้มาก อย่างน้อยก็ต้องชัดเจนว่าจุดเด่นของแบรนด์ธุรกิจคืออะไร จะหยิบยกประเด็นไหนขึ้นมาทำเป็น Content เพราะแต่ละแบรนด์ย่อมมีจุดเด่นที่ต่างกันไป เช่น บางแบรนด์เด่นที่มาสคอต บางแบรนด์เด่นที่สินค้าก็ยกเอาจุดเด่นนั้นขึ้นมาสร้างเป็น Content
  2. การสื่อสารที่ดีคือต้องรู้ว่าจะเล่าเรื่องราวให้ใครฟัง หมายถึงแบรนด์ต้องรู้ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะสื่อสารข้อมูลนั้นเป็นคนกลุ่มไหน และคนกลุ่มนั้นจะได้รับประโยชน์อะไรจากเรื่องเล่าของแบรนด์ จะได้สามารถผลิต Content ที่พุ่งเข้าเป้าต่อการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมายได้ทันที
  3. รู้จักใช้ Content Pillar มาช่วยในการผลิต Content คือต้องรู้ว่าจะวางเส้นเรื่องของ Content อย่างไร มีประเด็นไหนบ้างที่มีความเชื่อมโยงของแบรนด์กับสิ่งที่ลูกค้าอยากจะรู้ เทคนิคง่าย ๆ คืออาจลองศึกษา Content ของคู่แข่งว่าประเด็นไหนที่คนมีส่วนร่วมกับแบรนด์เยอะหรือน้อยอย่างไร ก็นำประเด็นนั้นมาจัดวางเส้นเรื่องที่ต้องการสื่อสารอย่างเป็นขั้นตอนซึ่งแบ่งออกเป็น
    • Gags คือคำพูดหรือคำฮิตติดหูที่สร้างช่วงเวลาดี ๆ ให้กับกลุ่มลูกค้า
    • Trend / Occasion คือการสร้างโอกาสพิเศษให้กลุ่มเป้าหมายได้เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วม ซึ่งอาจเป็นเรื่องราวที่มีกระแสในช่วงเวลานั้นก็ได้
    • Good Moment คือการสร้างช่วงเวลาที่สนุกสนานให้กลุ่มเป้าหมายด้วย Game หรือ Quiz ต่าง ๆ
    • Brand คือการสร้างเนื้อหาของแบรนด์ที่จะสื่อสารให้เป็นภาษาเดียวกับกลุ่มเป้าหมายและสื่อสารในมุมมองของพวกเขา
    • Campaign สื่อสารถึงข้อมูลเกี่ยวกับ Campaign หรือกิจกรรมของแบรนด์

เวลานี้ทุกคนต่างรู้ว่า Content คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ดังนั้นเพื่อให้แบรนด์มีตัวตนอย่างยั่งยืนบนโลกออนไลน์ก็จำเป็นต้องสร้าง Content ให้มีพลังและทรงอิทธิพลต่อกลุ่มเป้าหมาย แบรนด์จึงจะได้ชื่อว่าอยู่ในจิตใจของผู้คนบนโลกออนไลน์ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

post

ผู้ให้บริการทำอันดับเว็บไซต์ ยุค 2022 ต้องรู้ก่อน

ปัจจุบันผู้ที่อยู่ในแวดวงธุรกิจ ทำหรือกำลังจะทำเว็บไซต์ของตนเอง จำเป็นต้องทำความเข้าใจว่าการทำ SEO คืออะไร และทำประโยชน์ให้ธุรกิจที่มีเว็บไซต์อย่างไรบ้าง สิ่งนี้มีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากธุรกิจยุคนี้พึ่งพาการตลาดทางออนไลน์และยอดขายจากลูกค้าที่เข้ามาช้อปปิ้งผ่านอินเทอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วบริการรับทำ SEO คืออะไร เรามาหาคำตอบกันได้เลย

Search Engine Optimization หมายถึงการทำเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ มีเนื้อหาที่มีคุณภาพ และเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ที่ดี ทำให้มีความน่าเชื่อถือ เพื่อรับรองการติดอันดับในหน้าแรก ๆ ของผลการค้นหาเว็บไซต์บน Google ทำให้มีคนเห็นเว็บไซต์มากขึ้น มีโอกาสนำเสนอผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการก่อนคู่แข่ง เพิ่มโอกาสการปิดการขายมากขึ้น มีโอกาสสร้างรายได้ทำกำไรมากขึ้นด้วย แต่การทำ SEO เห็นผลลัพธ์ค่อนข้างช้า ส่วนใหญ่ใช้เวลานานตั้งแต่ 4-6 เดือนขึ้นไป ยิ่งถ้าเป็นมือใหม่ทำไม่ถูกวิธีด้วยแล้ว ก็ยิ่งเห็นผลลัพธ์ช้ามาก นักธุรกิจที่เล็งเห็นประโยชน์ข้อนี้จึงสนใจจ้างบริการรับทำ SEO ซึ่งจำเป็นต้องรู้ว่ามีอะไรบ้าง

บริษัทรับทำ SEO ส่วนใหญ่จะการันตีจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นภายใน 3-4 เดือน แน่นอนว่าจุดนี้มีประโยชน์ แม้ว่าอันดับการแสดงผลการค้นใน Google ไม่ได้เลื่อนอันดับขึ้นรวดเร็วแต่ช่วยให้มีคนเห็นเว็บไซต์ธุรกิจมากขึ้น มีโอกาสเสนอขายได้มากขึ้น สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์ได้รับการเลื่อนอันดับจะใช้เวลาค่อนข้างนานเพื่อให้ระบบค้นหารู้จักเว็บไซต์ ประเมินคุณภาพและความน่าเชื่อถือ จึงจะถูกเลือกแสดงผลบนหน้าแรกของ Google ในท้ายที่สุด

รายละเอียดของบริการรับทำ SEO ในเบื้องต้นมีดังนี้

  • วิเคราะห์ว่าลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจนั้นค้นหาอะไร เลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ได้รับความนิยมและเหมาะกับธุรกิจนั้นมากที่สุด โดยนำคีย์เวิร์ดที่ได้ไปใส่ไว้ในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ ทั้งหน้าเพจ บทความ ตั้งชื่อรูป และอื่น ๆ พร้อมทั้งวางกลยุทธ์การตลาดให้คนค้นหามองเห็นธุรกิจนั้นมากขึ้น
  • ปรับปรุงแก้ไขบทความพร้อมกับอัปเดตข้อมูลให้ทันสมัย เล่นคีย์ใหญ่ผลบอล หรือจัดคำรอง บอลเด็ด บอลเต็ง ทีเด็ดบอลเต็ง แทรกคีย์เวิร์ดในการทำ SEO เพื่อให้ Google เข้าใจเว็บไซต์และประเมินความน่าเชื่อถือระดับสูงมากขึ้น
  • ตรวจสอบว่าระบบค้นหาของ Google มีหลักการประเมินอย่างไร ควรทำคียเพื่อปรับกลยุทธ์การทำ SEO ที่เหมาะสม โดยดูแลแนวทางในการทำ SEO อย่างครอบคลุมทั้ง Off-page SEO และ On-page SEO ปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม เพื่อให้ได้รับการประเมินผลและจัดอันดับที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังประเมินกลุ่มคนที่เข้าถึงเว็บไซต์ธุรกิจ จำนวนการเข้าใช้งานและจำนวนการคลิกออกด้วย
  • วิธีการสร้าง Backlink กับเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและได้รับการประเมินว่าน่าเชื่อถือ รวมถึงวิธีทำให้เว็บไซต์อื่นใส่ลิงก์ที่คลิกกลับเข้ามาหาเว็บไซต์ของเรา พร้อมกับติด Tracking ต่าง ๆ สำหรับการตรวจสอบวัดผล SEO และทำให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพ
  • รายงานผลความคืบหน้าของการทำ SEO รายเดือนและรายไตรมาส สรุปผลให้ลูกค้าเห็นการเลื่อนอันดับของเว็บไซต์และจำนวนผู้เข้าใช้งานมากขึ้น ผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่

ก่อนตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการรายใด ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือจากผลงานที่ผ่านมา ดูว่าการทำ SEO นั้นสร้างการรับรู้แบรนด์รวมไปถึงประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแค่ไหน พิจารณาจากจำนวนลูกค้าเป้าหมายที่เข้ามาใช้งานมากขึ้น มียอดขายเพิ่มขึ้นทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งหากทำ SEO อย่างถูกต้องและได้ปริมาณผู้ชมเพิ่มมากขึ้นตามที่คาดหวัง จะเกิดประโยชน์กับธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ทั้งยอดขายและการรับรู้แบรนด์