post

ทำไมการทำ SEO ในช่วงที่คนกำลังนิยม Work Form Home ถึงสำคัญ

จากการมาถึงของ COVID-19 ที่ตอนนี้ได้เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบชีวิตของเราทุกคนไปหมด จากทุกอย่างที่ต้อง On-site เปลี่ยนมาเป็น Online เกือบ 100% และถึงแม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่กระแสของคนที่ต้องการทำงานแบบ Work From Home ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่หายไปไหน แล้วรู้หรือไม่ว่าจากผลของกระแส WFH นั้นเป็นอะไรที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำ SEO ของธุรกิจแบบสุด ๆ ด้วย

1. คนหันมา Search กันมากขึ้น จากผลของ COVID-19 ที่ทำให้ทุกคนต้องมาติดอยู่กับบ้าน จะกิน จะนอน จะทำงาน ทุกอย่างแทบจะออนไลน์กัน 100% ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดพฤติกรรมการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ กับการติดการใช้งาน Search Engine อย่าง Google กันมากขึ้น โดยเฉพาะกับการใช้เพื่อค้นหาสินค้าและบริการของธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะซื้อจะใช้อะไร คนก็จะใช้ Google หาให้เสมอ นั่นหมายความว่าถ้าอยากให้ลูกค้าหาเราเจอ เราก็ต้องทำ SEO ให้เว็บไซต์ธุรกิจขึ้นมาติดอันดับให้ได้

2. ปลาเร็ว กินปลาช้า หมดยุคปลาใหญ่กินปลาเล็กแล้ว จากผลของการเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้าที่ต้องการอะไรที่รวดเร็ว ทันใจ ตอบโจทย์ ถ้าใครที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบกว่าและทำได้ไวกว่าลูกค้าก็จะเลือกธุรกิจนั้น นั่นหมายความว่าธุรกิจของเราจะต้องสามารถปรับตัวได้เร็วและจับลูกค้าได้ไว โดยเฉพาะกับลูกค้าที่ WFH อยู่บ้านและหาทุกอย่างผ่านการ Search

3. ทุกอย่างจบที่หน้าจอ เพราะเทคโนโลยีที่เปลี่ยนให้คนสามารถทำงาน WFH หรือทำที่ไหนก็ได้สบาย ๆ จนแทบจะจบทุกเรื่องงานที่หน้าจอที่บ้านตัวเองได้เลยไม่ต้องออกไปไหน รวมไปถึงการซื้อสินค้าและบริการด้วย ที่ลูกค้าจะคุ้นชินกับการซื้อของออนไลน์มากกว่าการไปที่หน้าร้านแล้ว สังเกตได้จากการโตขึ้นของธุรกิจโลจิสติกส์ อย่างนั้นถ้าอยากให้ลูกค้ามาจบที่หน้าเว็บไซต์สินค้าของเรา เราก็ต้องทำ SEO

4. ต้นทุนการตลาดกับการประชาสัมพันธ์ เพราะการตลาดมีต้นทุน และถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ถ้าอยากจะเอาชนะคู่แข่งรายใหญ่ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง เราต้องใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและช่วยลดต้นทุนทางการตลาดของธุรกิจได้ ซึ่งนั่นก็คือการทำ SEO ที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า หรือไม่เสียเลยในกรณีที่คุณเป็นคนทำ SEO เองทั้งหมด

และทั้งหมดนั้นก็คือเหตุผลว่าทำไมธุรกิจออนไลน์ถึงควรจะต้องให้ความสำคัญกับการทำ SEO ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค WFH ที่ทุกอย่างแทบจะสามารถออนไลน์ได้ และถ้าไม่อยากตกขบวนกลายเป็นผู้แพ้ในตลาด ธุรกิจก็ต้องหันมาลุยกับการทำ SEO ให้เต็มที่

post

เทคนิคตั้งชื่อบทความสั้น ๆ แต่ติดอันดับได้ด้วย header tags seo

ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำงานเกี่ยวกับสื่อโซเชียลมีเดียมักต้องเข้าในกระบวนการทำ Search Engine Optimization หรือ SEO ทั้งสิ้น เพราะการทำ SEO คือ หัวใจหลักของการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับคอนเทนต์และนำไปสู่การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย/กลุ่มลูกค้า

header tags seo คืออะไร ?

“header tags as the table of contents inside a book.” seoptimer.com

“Header tags are HTML tags that tell a browser what styling it should use to display a piece of text on a webpage.”

searchenginejournal.com

“Headers (H1’s, H2’s, etc.) are pieces of HTML code that allow you to make certain words stand out on your page.” outerboxdesign.com

จากการให้คำนิยามของ header tags seo จากเว็บไซต์ Online Marketing ที่ติดอันดับบนหน้าแรกของ Google Search เรื่อง header tags สามารถสรุปได้ว่า header tags คือ ข้อความสำคัญที่จะบอกให้ผู้อ่านทราบว่าจะได้อ่านอะไร หรือกำลังจะได้ดูคอนเทนต์เกี่ยวกับอะไร

header tags สำคัญอย่างไรกับการทำ SEO ?

การตั้งชื่อคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพย่อมมีผลต่อความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย/กลุ่มลูกค้า ซึ่งการให้ความสำคัญกับ header tags ไม่เพียงแต่ทำให้กลุ่มเป้าหมาย/กลุ่มลูกค้าทราบว่ากำลังจะได้พบกับคอนเทนต์ที่กำลังตามหาหรือไม่ แต่ยังมีส่วนช่วยให้คอนเทนต์มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะช่วยในการจัดลำดับความสำคัญและช่วยเรียบเรียงเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอ รวมถึงช่วยให้การทำงานของ Content Creator รวดเร็วมากขึ้น

รูปแบบการใส่ header tags ลงในคอนเทนต์

การจัดรูปแบบ header tags จะแบ่งตามลำดับขั้นของเนื้อหา โดยอาจแบ่งจากภาพรวมที่กว้างมาก ๆ และเรียงลำดับมาเป็นเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นก็ได้ หรือจะลำดับตามความสำคัญก็ได้ โดยเรียงจาก H1 , H2, H3, . . . หากใครที่ยังนึกไม่ออกว่าการใส่ header tags ต้องทำอย่างไร ในเว็บไซต์ของ thewhitemarketing.com ได้พูดถึงตัวอย่างโครงสร้างของการทำ header tags เอาไว้อย่างละเอียด ซึ่งเราสามารถสรุปให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ดังนี้

หัวข้อคอนเทนต์ << จุดประสงค์หลักของการสร้างคอนเทนต์ ควรมีความยาวไม่เกิน 55 ตัวอักษรและควรมีคีย์เวิร์ดหลักเพียง 1 คำ

คำอธิบายบทความ << บอกรายละเอียดคอนเทนต์อย่างย่อที่กลุ่มเป้าหมายจะได้จากคอนเทนต์นี้

Header tags H1 << หัวข้อเนื้อหาที่มีความสำคัญที่สุด หรือมีขอบเขตกว้างที่สุดและควรมีคีย์เวิร์ดหลักในหัวข้อด้วย

Header tags H2 << หัวข้อเนื้อหาที่มีความสำคัญรองจาก H1 และควรมีคีย์เวิร์ดรอง หรือ Longtails Keyword ในหัวข้อด้วย

สรุปใจความสำคัญ << ควรอยู่ส่วนท้ายของบทความเพื่อสรุปเนื้อหาสำคัญในแบบที่สั้นที่สุด

การตั้งชื่อคอนเทนต์ด้วยเทคนิค Header tags seo เป็นการทำสารบัญให้กับคอนเทนต์ โดยได้จากการทำ Keyword Research เพื่อดูว่ากลุ่มเป้าหมาย/กลุ่มลูกค้ากำลังมองหาอะไรและนำมาสร้างเป็นคอนเทนต์อย่างครอบคลุมที่สุด ซึ่งจะช่วยให้คอนเทนต์สามารถติดอันดับบน Search Engine ได้ง่ายและนานยิ่งขึ้น

post

การวัดผลประสิทธิภาพ SEO นอกเหนือจากหน้าเว็บไซต์คืออะไร

การทำ SEO คือการสร้างเนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้หน้าเว็บไซต์ของเราได้รับการจัดอันดับในตำแหน่งที่ดีของ Search Engine โดยวัตถุประสงค์ในการทำ SEO คือ

วัตถุประสงค์ในการทำ SEO

การจัดอันดับ (Ranking) นอกจากการจัดอันดับการค้นหาที่ดีของเว็บไซต์แล้ว การทำให้ผู้คนคลิกเข้ามาอ่านเนื้อหาของเว็บไซต์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน และการที่เว็บไซต์มีผู้มาเยือนเข้ามาอ่านหน้าเว็บบ่อย ๆ หรือสม่ำเสมอก็จะทำให้ผลการค้นหาอยู่ในอันดับที่ดีได้อย่างยั่งยืนกว่าการจ่ายเงินค่าโฆษณาเสียอีก

การสร้างความรับรู้ต่อแบรนด์สินค้า (Brand Awareness) เป็นการทำให้เว็บไซต์หรือแบรนด์ได้เป็นที่รู้จักของผู้คน และลูกค้า เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าหรือบริการ และช่วยสร้างมูลค่าที่ดีให้กับแบรนด์อีกด้วย

การเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Website Traffic) เป็นการเพิ่มโอกาสขายสินค้า และยังเป็นการทำตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ

การช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Visitor Targeting) เป็นการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายด้วยการสร้างคอนเทนต์ หรือสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ด้วยการใช้ Keyword ในบทความนั้น ๆ

อัตราการตอบโต้กับลูกค้า (Conversion Rate) อาจวัดผลจากยอดการเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับสินค้า ยอดการขายสินค้า ยอดของการกรอกแบบฟอร์ม หรือยอดการสมัครเข้าร่วมในธุรกิจตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้

การสร้างความน่าเชื่อถือ (Authority) การแสดงให้ทราบว่าแบรนด์มีความเชี่ยวชาญในสินค้าและบริการ เป็นวิธีที่ช่วยให้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือในสายตาของลูกค้าได้ดี ส่งผลให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกแบรนด์สินค้าได้ง่ายขึ้น

การช่วยให้แบรนด์เกิดการเติบโต (Business Growth) แบรนด์กลายเป็นที่รู้จัก หรือมียอดขายเพิ่มขึ้น ธุรกิจจึงเติบโตมากขึ้น

วิธีการวัดผลในการทำ SEO ประกอบไปด้วย

การวัดจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Number of Visitors) สามารถตรวจสอบได้ใน Category : Audience เพื่อตรวจสอบจำนวนการเข้าชม และจำนวนคนที่เข้าชมเว็บนั้น ๆ สามารถบ่งบอกถึงความนิยมของเว็บไซต์ และประสิทธิภาพของการทำ SEO ได้ดี

อัตราส่วนผู้เข้าชมเว็บไซต์ทั้งใหม่และเก่า (Ratio of New and Returning Visitors) Google Analytics จะนอกจากจะนับจำนวนผู้เข้าชมแล้ว ยังแสดงผลให้เห็นว่าผู้เข้าชมนั้นเป็นผู้เข้าชมใหม่ และเคยเข้ามาที่เว็บไซต์แล้วหรือไม่ ซึ่งการที่มีผู้กลับเข้ามาเยี่ยมชมหน้าเว็บซ้ำ (Returning Visitors) แสดงว่าเว็บไซต์นั้นสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้อ่านได้ดี

ระยะเวลาในการเข้าชมเว็บไซต์ (Session Duration) การพิจารณาว่าผู้ชมแต่ละราย อยู่ในหน้าเว็บไซต์นานเท่าใดเป็นการแสดงถึงประสิทธิภาพของคอนเทนต์ว่าสามารถดึงดูดผู้เข้าชม และสร้างปฏิสัมพันธ์ต่อพวกเขาได้ดีหรือไม่

จำนวนผู้ใช้งานที่มาจากการค้นหาบน Google แบบไม่เสียค่าโฆษณา (Number of Users from Organic SERPs) เป็นการค้นหาแบบ Organic Search ยิ่งมีผู้ใช้งานในลักษณะนี้มาก ยิ่งบ่งบอกว่าการทำ SEO นั้นได้ผลดี

ค่าเฉลี่ยเวลาที่ใช้ในการโหลดหน้าเว็บไซต์ (Average Speed) ระยะเวลาในการโหลดหน้าเว็บยิ่งนาน ยิ่งส่งผลเสียต่อทั้งผู้ใช้งาน และ Search Engine เพราะอาจทำให้พวกเขาออกจากหน้าเว็บได้ และอาจเปลี่ยนใจไปยังหน้าเว็บของคู่แข่งแทน หากผลการโหลดนาน ควรปรับปรุงให้ระยะเวลาการโหลดหน้าเว็บลดน้อยลงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

การวัดผล SEO ที่หลากหลายจะช่วยให้ผู้ที่ทำ SEO หรือเจ้าของเว็บไซต์นั้น ๆ สามารถทำการปรับปรุงแก้ไขเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพได้ดีมากยิ่งขึ้น เพิ่มโอกาสในการทำการตลาดที่ดีมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

post

On-page SEO สิ่งสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จ

การที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับการค้นหาใน google แบบมั่นคงและยาวนานนั้นต้องทำ SEO การทำ SEO นั้นมีหลายส่วน มาดูส่วนแรก ซึ่งเป็นพื้นฐานในการทำ SEO นั่นคือการทำ On-page SE0

SEO คืออะไร

SEO ( Search Engine Optimization ) คือ การออกแบบเว็บไซต์และเนื้อหาในเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับการค้นหาใน google ถ้าเว็บไซต์ของเราติดอันดับแล้ว ผู้คนก็จะมีโอกาสเห็นสินค้าของเราเป็นอันดับแรก ๆ ซึ่งทำให้มีโอกาสขายได้มากกว่า

On-page SEO คืออะไร

On-page SEO คือ การปรับแต่งโครงสร้างและเนื้อหาภายในเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งได้แก่

  1. เพิ่มความเร็วให้แก่เว็บไซต์ เว็บไซต์ต้องโหลดเร็ว การเพิ่มความเร็วให้แก่เว็บไซต์นั้นได้แก่
    • ใช้ cache โปรแกรมที่เก็บฐานผู้มูลผู้อ่านและส่งข้อมูลกลับไปยังผู้อ่านโดยไม่ต้องเสียเวลาประเมินฐานข้อมูล
    • ใช้ CDN เป็นกระบวนการที่เว็บไซต์ของเราถูกก็อปปี้และเตรียมไว้ใน server หลากหลายทั่วจุดทั่วโลก ผู้ใช้เว็บไซต์ของเราไม่ว่าจะมาจากมุมไหนของโลกก็สามารถอ่านเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว เพราะว่ามี server ไว้รองรับนั่นเอง
    • บีบอัดทุกอย่างให้เล็กลง ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพหรือวิดีโอ ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น
  2. มีเนื้อหาคุณภาพ ในเว็บไซต์จะมีบทความหรือเนื้อหาต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า Content เนื้อหาที่เอื้อต่อการทำ SEO มีดังนี้
    • ไม่ซ้ำกันกับเว็บไซต์อื่น หากคัดลอกบทความจากที่อื่นแล้วมาวางที่เว็บไซต์ google จะติดคำว่า duplicate content หรือเนื้อหาซ้ำกันให้กับเว็บไซต์ของเรา ทำให้เสียคะแนนและตกอันดับ และในเว็บไซต์ก็ไม่ควรมีเนื้อหาที่คล้ายกันเช่นเดียว ถ้ามีห้าบทความคล้าย ๆ กัน ควรทำให้เป็นหนึ่งบทความ
    • วาง keyword ให้กระจายตัวอย่างเป็นธรรมชาติในบทความ ไม่ควรใส่เยอะเกินไป เพราะการใส่ keyword เยอะนอกจากจะทำให้เนื้อหาไม่มีคุณภาพ อ่านไม่รู้เรื่องแล้ว google ยังมองว่าเป็นการ spam หรือโกง
      บทความควรมีอย่างน้อย 500 คำและตอบโจทย์ผู้อ่านได้ โดย google จะมองว่า ผู้อ่านใช้เวลาบนใ
    • เว็บไซต์ของเราสักครู่ก่อนปิดออกไป หรือเข้ามาในเว็บไซต์แล้วปิดหนีทันที ดังนั้นเนื้อหาควรมีความยาวพอประมาณ ดึงดูดความสนใจและตอบโจทย์ผู้อ่าน
  3. ใส่หัวข้อและคำอธิบายให้กับเนื้อหาหรือบทความ
    • ใส่ Title tag หรือหัวข้อให้กับเนื้อหาหรือบทความเพื่อทำให้ Google รู้ว่าเพจนี้คืออะไร มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอะไร ควรใส่ keyword และเขียนให้ดึงดูดความสนใจ เช่น ถ้าเราเขียนเกี่ยวกับ ร้านกาแฟที่มีต้นมะนาวล้อมรอบ ร้านกาแฟ คือ keyword อาจเขียนหัวข้อว่า
      “ ร้านกาแฟ ชามะนาว ใกล้ รพ. บางกอก ปลิดมะนาวสดๆ จากต้น ”
      ในหัวข้อ จะมีคำว่า ร้านกาแฟ
    • ใส่ Meta description หรือคำอธิบายสั้น ๆ บอกรายละเอียดในเนื้อหาหน้านั้น ๆ เพื่อให้คนท่องเว็บรู้ว่าเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร “ ร้านกาแฟ ชามะนาว ใกล้ รพ. บางกอก ปลิดมะนาวสดๆ จากต้น ”ร้านกาแฟตรงข้ามกับ รพ. บางกอก บรรยากาศร่มรื่น ล้อมรอบไปด้วยต้นมะนาว มีดนตรีสด อาหารอร่อยและเครื่องดื่มบริการ
      ที่ขีดเส้นใต้คือ Meta description นั่นเอง

เพื่อให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักมากขึ้น ควรทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของเรา การทำ SEO ส่วนที่สำคัญคือการทำ On-page SEO ซึ่งได้แก่ การทำให้เว็บไซต์โหลดเร็ว การมีบทความหรือเนื้อหาที่มีคุณภาพและไม่ซ้ำใคร การใส่หัวข้อและคำอธิบายให้กับเนื้อหา

post

Content สำคัญไฉน.. จะสร้างอย่างไรให้มีพลังดึงดูดผู้คนบนโลกออนไลน์

ธุรกิจบนโลกออนไลน์นั้น ใคร ๆ ก็รู้ดีว่ามีความท้าทายและเหนื่อยยากแค่ไหนกว่าที่จะสำเร็จตามเป้าหมายในแต่ละขั้นตอน เพราะโลกออนไลน์คือพื้นที่สาธารณะที่ใครจะมา จะไป หรือจะชักจูงคนรู้จักให้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์หรือเพจร้านค้าสามารถทำได้ตลอดเวลา นั่นหมายความว่าวิธีการที่จะดึงดูดให้คนที่ผ่านไปใครมาหยุด! อยู่ที่เว็บไซต์ของธุรกิจคือจะต้องมี Content ที่ดึงดูดใจหรือให้ประโยชน์ต่อผู้พบเห็นได้ วันนี้จะมาทำความเข้าใจกันว่า Content นั้นสำคัญไฉน จะสร้างอย่างไรให้มีพลังดึงดูดผู้คนบนโลกออนไลน์

Content แปลว่าเนื้อหา หมายถึงรูปแบบในการสื่อสารข้อมูล ประสบการณ์หรือความรู้ หรืออะไรก็ตามที่สามารถสื่อสารไปในช่องทางการสื่อสารที่มีให้ผู้อื่นรู้ว่าผู้ส่งสารต้องการจะสื่อสารอะไรให้กับผู้รับสาร โดยสามารถผลิตออกมาได้ในหลายรูปแบบ ทั้งบทความ คลิปวิดีโอ ภาพกราฟิกหรือแอปพลิเคชันใด ๆ โดยมากแล้ว Content บนโลกออนไลน์ที่คนได้ยินหรือเห็นกันบ่อยคือ Content ทางการตลาดเพราะต้องการจะสื่อสารให้ผู้รับสารได้รับรู้ตัวตนของแบรนด์ธุรกิจบนโลกออนไลน์ที่สามารถแพร่กระจายต่อให้คนอื่น ๆ รู้จักธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นธุรกิจจึงต้องใส่ใจในการผลิต Content ที่มีคุณภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจมากที่สุด ซึ่งจำเป็นจะต้องวางกลยุทธ์ในการผลิต Content อย่างเป็นขั้นตอนดังนี้

  1. รู้จักแบรนด์ของธุรกิจให้มาก อย่างน้อยก็ต้องชัดเจนว่าจุดเด่นของแบรนด์ธุรกิจคืออะไร จะหยิบยกประเด็นไหนขึ้นมาทำเป็น Content เพราะแต่ละแบรนด์ย่อมมีจุดเด่นที่ต่างกันไป เช่น บางแบรนด์เด่นที่มาสคอต บางแบรนด์เด่นที่สินค้าก็ยกเอาจุดเด่นนั้นขึ้นมาสร้างเป็น Content
  2. การสื่อสารที่ดีคือต้องรู้ว่าจะเล่าเรื่องราวให้ใครฟัง หมายถึงแบรนด์ต้องรู้ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะสื่อสารข้อมูลนั้นเป็นคนกลุ่มไหน และคนกลุ่มนั้นจะได้รับประโยชน์อะไรจากเรื่องเล่าของแบรนด์ จะได้สามารถผลิต Content ที่พุ่งเข้าเป้าต่อการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมายได้ทันที
  3. รู้จักใช้ Content Pillar มาช่วยในการผลิต Content คือต้องรู้ว่าจะวางเส้นเรื่องของ Content อย่างไร มีประเด็นไหนบ้างที่มีความเชื่อมโยงของแบรนด์กับสิ่งที่ลูกค้าอยากจะรู้ เทคนิคง่าย ๆ คืออาจลองศึกษา Content ของคู่แข่งว่าประเด็นไหนที่คนมีส่วนร่วมกับแบรนด์เยอะหรือน้อยอย่างไร ก็นำประเด็นนั้นมาจัดวางเส้นเรื่องที่ต้องการสื่อสารอย่างเป็นขั้นตอนซึ่งแบ่งออกเป็น
    • Gags คือคำพูดหรือคำฮิตติดหูที่สร้างช่วงเวลาดี ๆ ให้กับกลุ่มลูกค้า
    • Trend / Occasion คือการสร้างโอกาสพิเศษให้กลุ่มเป้าหมายได้เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วม ซึ่งอาจเป็นเรื่องราวที่มีกระแสในช่วงเวลานั้นก็ได้
    • Good Moment คือการสร้างช่วงเวลาที่สนุกสนานให้กลุ่มเป้าหมายด้วย Game หรือ Quiz ต่าง ๆ
    • Brand คือการสร้างเนื้อหาของแบรนด์ที่จะสื่อสารให้เป็นภาษาเดียวกับกลุ่มเป้าหมายและสื่อสารในมุมมองของพวกเขา
    • Campaign สื่อสารถึงข้อมูลเกี่ยวกับ Campaign หรือกิจกรรมของแบรนด์

เวลานี้ทุกคนต่างรู้ว่า Content คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ดังนั้นเพื่อให้แบรนด์มีตัวตนอย่างยั่งยืนบนโลกออนไลน์ก็จำเป็นต้องสร้าง Content ให้มีพลังและทรงอิทธิพลต่อกลุ่มเป้าหมาย แบรนด์จึงจะได้ชื่อว่าอยู่ในจิตใจของผู้คนบนโลกออนไลน์ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

post

ผู้ให้บริการทำอันดับเว็บไซต์ ยุค 2022 ต้องรู้ก่อน

ปัจจุบันผู้ที่อยู่ในแวดวงธุรกิจ ทำหรือกำลังจะทำเว็บไซต์ของตนเอง จำเป็นต้องทำความเข้าใจว่าการทำ SEO คืออะไร และทำประโยชน์ให้ธุรกิจที่มีเว็บไซต์อย่างไรบ้าง สิ่งนี้มีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากธุรกิจยุคนี้พึ่งพาการตลาดทางออนไลน์และยอดขายจากลูกค้าที่เข้ามาช้อปปิ้งผ่านอินเทอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วบริการรับทำ SEO คืออะไร เรามาหาคำตอบกันได้เลย

Search Engine Optimization หมายถึงการทำเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ มีเนื้อหาที่มีคุณภาพ และเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ที่ดี ทำให้มีความน่าเชื่อถือ เพื่อรับรองการติดอันดับในหน้าแรก ๆ ของผลการค้นหาเว็บไซต์บน Google ทำให้มีคนเห็นเว็บไซต์มากขึ้น มีโอกาสนำเสนอผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการก่อนคู่แข่ง เพิ่มโอกาสการปิดการขายมากขึ้น มีโอกาสสร้างรายได้ทำกำไรมากขึ้นด้วย แต่การทำ SEO เห็นผลลัพธ์ค่อนข้างช้า ส่วนใหญ่ใช้เวลานานตั้งแต่ 4-6 เดือนขึ้นไป ยิ่งถ้าเป็นมือใหม่ทำไม่ถูกวิธีด้วยแล้ว ก็ยิ่งเห็นผลลัพธ์ช้ามาก นักธุรกิจที่เล็งเห็นประโยชน์ข้อนี้จึงสนใจจ้างบริการรับทำ SEO ซึ่งจำเป็นต้องรู้ว่ามีอะไรบ้าง

บริษัทรับทำ SEO ส่วนใหญ่จะการันตีจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นภายใน 3-4 เดือน แน่นอนว่าจุดนี้มีประโยชน์ แม้ว่าอันดับการแสดงผลการค้นใน Google ไม่ได้เลื่อนอันดับขึ้นรวดเร็วแต่ช่วยให้มีคนเห็นเว็บไซต์ธุรกิจมากขึ้น มีโอกาสเสนอขายได้มากขึ้น สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์ได้รับการเลื่อนอันดับจะใช้เวลาค่อนข้างนานเพื่อให้ระบบค้นหารู้จักเว็บไซต์ ประเมินคุณภาพและความน่าเชื่อถือ จึงจะถูกเลือกแสดงผลบนหน้าแรกของ Google ในท้ายที่สุด

รายละเอียดของบริการรับทำ SEO ในเบื้องต้นมีดังนี้

  • วิเคราะห์ว่าลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจนั้นค้นหาอะไร เลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ได้รับความนิยมและเหมาะกับธุรกิจนั้นมากที่สุด โดยนำคีย์เวิร์ดที่ได้ไปใส่ไว้ในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ ทั้งหน้าเพจ บทความ ตั้งชื่อรูป และอื่น ๆ พร้อมทั้งวางกลยุทธ์การตลาดให้คนค้นหามองเห็นธุรกิจนั้นมากขึ้น
  • ปรับปรุงแก้ไขบทความพร้อมกับอัปเดตข้อมูลให้ทันสมัย เล่นคีย์ใหญ่ผลบอล หรือจัดคำรอง บอลเด็ด บอลเต็ง ทีเด็ดบอลเต็ง แทรกคีย์เวิร์ดในการทำ SEO เพื่อให้ Google เข้าใจเว็บไซต์และประเมินความน่าเชื่อถือระดับสูงมากขึ้น
  • ตรวจสอบว่าระบบค้นหาของ Google มีหลักการประเมินอย่างไร ควรทำคียเพื่อปรับกลยุทธ์การทำ SEO ที่เหมาะสม โดยดูแลแนวทางในการทำ SEO อย่างครอบคลุมทั้ง Off-page SEO และ On-page SEO ปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม เพื่อให้ได้รับการประเมินผลและจัดอันดับที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังประเมินกลุ่มคนที่เข้าถึงเว็บไซต์ธุรกิจ จำนวนการเข้าใช้งานและจำนวนการคลิกออกด้วย
  • วิธีการสร้าง Backlink กับเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและได้รับการประเมินว่าน่าเชื่อถือ รวมถึงวิธีทำให้เว็บไซต์อื่นใส่ลิงก์ที่คลิกกลับเข้ามาหาเว็บไซต์ของเรา พร้อมกับติด Tracking ต่าง ๆ สำหรับการตรวจสอบวัดผล SEO และทำให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพ
  • รายงานผลความคืบหน้าของการทำ SEO รายเดือนและรายไตรมาส สรุปผลให้ลูกค้าเห็นการเลื่อนอันดับของเว็บไซต์และจำนวนผู้เข้าใช้งานมากขึ้น ผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่

ก่อนตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการรายใด ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือจากผลงานที่ผ่านมา ดูว่าการทำ SEO นั้นสร้างการรับรู้แบรนด์รวมไปถึงประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแค่ไหน พิจารณาจากจำนวนลูกค้าเป้าหมายที่เข้ามาใช้งานมากขึ้น มียอดขายเพิ่มขึ้นทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งหากทำ SEO อย่างถูกต้องและได้ปริมาณผู้ชมเพิ่มมากขึ้นตามที่คาดหวัง จะเกิดประโยชน์กับธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ทั้งยอดขายและการรับรู้แบรนด์

post

ทำ SEO แล้วได้อะไร มือใหม่ต้องรู้

เมื่อจะเข้าสู่วงการขายสินค้าออนไลน์ คุณควรต้องเรียนรู้เรื่อง SEO หรือ search engine optimization เพื่อให้การทำธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ที่เราจะแนะนำดังนี้

1. ลดเวลาในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า

การเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายโดยเร็วเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณเป็นมือใหม่ในวงการออนไลน์ เมื่อเปิดเว็บไซต์ขึ้นมาแรก ๆ ก็ไม่มีใครรู้จัก หากไม่ทำตามหลักการ SEO ที่ Google แนะนำ คุณก็จะไม่สามารถสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ได้ในเวลาอันสั้น เพราะแทบจะไม่มีโอกาสเลยที่คนจะพิมพ์แล้วตรงกับสิ่งที่คุณใส่ในบทความของเว็บไซต์ตัวเอง ดังนั้นการทำ SEO จะทำให้เว็บไซต์คุณมีคนเข้ามาชมได้เร็วขึ้นในเวลาไม่กี่เดือน

2. ขายของได้มาก

เชื่อว่าคนที่ทำเว็บไซต์ทุกคนต้องการที่จะมีรายได้จากการทำเว็บไซต์ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เช่น ถ้าเป็นหน้าร้านขายสินค้าต่าง ๆ ก็ต้องการออเดอร์สินค้าทุกวัน ถ้าขายคอร์สสอนออนไลน์ ก็ต้องการให้คนรู้จักเข้ามาอ่านข้อมูลแล้วตัดสินใจสมัครเรียนไว ๆ ถ้าไม่มีลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์คุณเลยโอกาสในการขายสินค้าและบริการก็จะเท่ากับหายไปด้วย คุณจึงควรศึกษาการทำ SEO ตั้งแต่ต้นที่ทำเว็บไซต์ ทั้งจากคลิปวิดีโอสอนทำจากกูรูต่าง ๆ เพื่อจัดรูปแบบเว็บไซต์ทั้ง On-page และ Off -page SEO ให้เหมาะสม หรือจะจ้างบริษัทมืออาชีพในการทำ SEO ให้เว็บไซต์คุณก็ได้เช่นกัน

3. เข้าถึงลูกค้าต่างประเทศง่ายขึ้น

ถ้าคุณทำเว็บไซต์เป็นภาษาต่างประเทศเพื่อขายสินค้าให้ชาวต่างชาติ ก็มีโอกาสที่จะขายของได้มูลค่ามหาศาลตามไปด้วย ในอดีตหากคุณจะขายของให้คนต่างชาติก็ต้องนั่งเครื่องบินไปโปรโมต เสียเวลาและค่าใช้จ่ายมากมาย แต่หากทำเว็บไซต์ตามหลัก SEO คุณก็ไม่ต้องเสียเงินในส่วนนี้เลย และยังมีโอกาสขายได้ตลอดเวลาเพราะเป็นการขายทางอินเทอร์เน็ตด้วย เรียกได้ว่าเข้าถึงลูกค้าได้ในทุกมุมโลกเพียงแค่มีระบบอินเทอร์เน็ตเชื่อมโยงกัน

4. ได้รับความเชื่อถือ

ความเชื่อถือของคุณมาจากการที่ใครก็ตามค้นหาในเว็บไซต์ Google ซึ่งเป็นแหล่งค้นหาข้อมูลอันดับหนึ่งของโลกแล้วเจอเว็บไซต์คุณทันที จะดีแค่ไหนถ้าเว็บไซต์ของคุณถูกพิมพ์หาด้วย keyword SEO แล้วอยู่ในอันดับที่ 1 หรือ 2 ตลอดเวลา เพราะนั่นแปลว่าคุณมีโอกาสได้รับความเชื่อถือจากลูกค้าในการสั่งสินค้าและบริการมากกว่าคนอื่น ๆ 

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO ให้ประโยชน์แก่เว็บไซต์อย่างมากมาย คนที่เป็นมือใหม่ในวงการขายของออนไลน์จึงควรเริ่มต้นศึกษาไว้เสียแต่วันนี้ ไม่ว่าจะเรียนเพื่อทำเองหรือเพื่อให้เข้าใจระบบงานสำหรับการจ้างทำ SEO ก็ได้เช่นกัน แล้วคุณจะได้ผลกำไรที่ตอบกลับมาสู่ธุรกิจของคุณมากกว่าที่ลงทุนไปอย่างแน่นอน

post

SEO ทำแล้วได้อะไร 2022

SEO เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่กูรูจำนวนมากแนะนำให้ผู้ที่สนใจธุรกิจออนไลน์ศึกษาอย่างเป็นระบบเพื่อให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว เรามาดูกันว่าหากทำ SEO ให้เว็บไซต์หลักจะได้อะไรบ้าง

1. ประหยัดค่าจ้างทำ SEO 

การทำ SEO เป็นเรื่องที่เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง เพียงอาศัยความขยันในการศึกษา keyword ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ เขียน Content ที่มีคุณภาพ วิเคราะห์ให้ตรงตามหลัก SEO ทำซ้ำอย่างสม่ำเสมอเช่นนี้ ก็จะทำให้อันดับของเว็บไซต์ดีขึ้นได้ทุกวันโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจ้างใคร

2. ไม่ต้องเสียค่าโฆษณา

การโฆษณาต้องมีค่าใช้จ่ายให้แก่ Google โดยจะถูกตัดค่าใช้จ่ายแบบนับจำนวนการคลิก หรือที่เรียกว่า pay per click ซึ่งเงินค่าโฆษณาหมดงบประมาณที่ตั้งไว้เมื่อใดจากจำนวนการคลิกสะสมจนถึงระดับเพดาน ก็จะหยุดการโฆษณาเมื่อนั้น แต่การทำ SEO ไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ทุกเว็บไซต์ออนไลน์สามารถทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ตัวเองแล้วแข่งขันกันด้านคุณภาพเพื่อให้ได้อยู่ในอันดับต้น ๆ ได้ตลอดทั้งปี 

3. แข่งขันอย่างยุติธรรม

นักธุรกิจที่มีทุนน้อยอาจกังวลว่าจะสู้ยักษ์ใหญ่ในตลาดออนไลน์ได้อย่างไร ที่จริงแล้วไม่ต้องกังวลในส่วนนี้เลย เพราะการวิเคราะห์คุณภาพของเว็บไซต์ SEO นั้นเป็นไปโดยระบบ algorithm ของ Google ที่จะมาแวะเวียนเก็บข้อมูลในเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นระยะ หมดปัญหาอคติในการจัดอันดับเว็บไซต์ได้ ที่สำคัญ คือ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอยู่ในอันดับด้านบนได้หากทำ SEO สายขาวตามหลักการของ Google ได้อย่างถูกวิธี

4. ทำให้ได้ลูกค้าประจำ

ไม่ว่าจะขายสินค้าหรือบริการชนิดใด หากมีลูกค้าประจำแล้วย่อมหมายถึงการมีโอกาสขายต่อเนื่องและถูกบอกต่อได้มากยิ่งขึ้น การทำ SEO ได้แก่ การจัดหมวดหมู่ของเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย เช่น ถ้าขายสินค้าหลายประเภทก็ต้องแยกเป็นหมวดเสื้อ กางเกง กระโปรง รองเท้า กระเป๋า พร้อมให้สาระความรู้เกี่ยวกับการเลือกสินค้าที่ดีมีคุณภาพ อันแสดงถึงความจริงใจและความรู้ของผู้ผลิตเนื้อหา ทำเช่นนี้ย่อมมีโอกาสขายสินค้าแก่ลูกค้าประจำและขยายฐานการตลาดให้กว้างขึ้นได้

5. เข้าถึงลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติตลอดเวลา

การทำ SEO นั้นให้ประโยชน์ในการเข้าถึงลูกค้าทั่วโลก ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ มีโอกาสที่จะมีผู้คลิกเข้ามาชมข้อมูลในเว็บไซต์ของคุณได้ตลอด 24 ชั่วโมง หากศึกษาคีย์เวิร์ด SEO ที่เหมาะสม ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ก็ย่อมมีโอกาสเข้าถึงลูกค้าอย่างไม่จำกัด

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO นั้นให้ประโยชน์ทั้งด้านการพัฒนาเว็บไซต์จากระดับรากฐานให้แน่น สอดคล้องตามหลักการของ Google และยังสามารถขยายฐานลูกค้าให้กว้างยิ่งขึ้นได้ อันทำให้ธุรกิจมีความมั่นคงยิ่งขึ้น นักธุรกิจออนไลน์จึงควรเรียนรู้หลักการ SEO เพื่อการอยู่รอดของธุรกิจในทศวรรษหน้า

post

งงไหมจะใช้ SEO หรือ SEM?

เชื่อว่าผู้ประกอบการหลายท่านที่เป็นมือใหม่ในวงการตลาดออนไลน์ อาจมีความสงสัยว่า SEO กับ SEM คืออะไร แบบไหนจะดีกว่ากัน แล้วผู้ประกอบธุรกิจจะเลือกใช้อะไรดี จึงจะสามารถเพิ่มยอดขายให้ได้มากขึ้น วันนี้เรามาเรียนรู้ไปด้วยกันในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 

1. ความหมาย

SEO (search engine optimization) หมายถึงการทำการตลาดออนไลน์ผ่านระบบปฏิบัติการค้นหาเพื่อให้ถูกจัดอันดับให้อยู่บนหน้าแรก (ในที่นี้หมายถึง google) โดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาให้ google ส่วน SEM (search engine marketing) ถือว่าเป็นวิธีการทำให้คนรู้จักเว็บไซต์เหมือนกันกับ SEO แต่แตกต่างกันตรงที่ต้องจ่ายค่าโฆษณา ส่วนสิ่งที่เหมือนกันของการนำ SEO และ SEM มาใช้ในการทำการตลาดคือทั้งสองอย่างจำเป็นต้องมี keyword (คำที่ใช้ค้นหา)

2. การวางแผน-เตรียมการ 

การทำ SEO จะมีความยุ่งยากมากกว่า SEM เพราะจะต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ เรียกได้ว่าต้องเตรียมการตั้งแต่ก่อนลงมือทำเว็บไซต์เลยทีเดียว เพราะการทำ SEO ต้องมีการเขียนบทความโดยใช้ keyword ที่มีเนื้อหาเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันซึ่งอาจต้องใช้หลายบทความและแต่ละบทความต้องสามารถลิงก์หากันได้อย่างลงตัว

หากท่านจินตนาการไม่ออกก็ลองคิดถึงภาพยนตร์จักรวาลทั้งหลายนั่นแหละ ที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะเป็นหนังจักรวาลของมาเวล  ไม่ทราบว่าเคยดูกันบ้างหรือเปล่า ทั้งเรื่องแย่งกันดีดนิ้วเพื่อลดจำนวนประชากร ส่วนการทำ SEM ไม่จำเป็นต้องใช้บทความมากมาย บางเว็บไซต์ใช้แค่บทความเดียว ขอแค่เป็นบทความที่ใช้ keyword ที่สื่อถึงสินค้าหรือบริการก็พอ 

ส่วนการซื้อโฆษณาบน google หรือ SEM จะใช้ระบบที่เรียกว่า pay per click คือการซื้อโฆษณาในรูปแบบที่มีการเรียกเก็บเงินตามจำนวนคลิก คนใช้งานคลิกมากก็จ่ายมาก ผ่านรูปแบบการประมูล keyword คำไหนที่มีคนใช้เยอะก็ต้องจ่ายแพง  เพื่อดันโฆษณาเว็บไซต์ให้ไปปรากฏบนหน้าแรกของ google

3. ระยะเห็นผล

SEO ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานเพราะเป็นการทำการตลาดที่เรียกว่า organic ซึ่งเป็นศัพท์ทางการตลาดหมายถึงไม่ซื้อโฆษณานั่นเอง การทำ SEO ให้ได้ผลอาจต้องใช้เวลา 6 เดือนหรือมากกว่านั้น ส่วน SEM ใช้เวลาสั้นกว่ามาก หากต้องการความรวดเร็วคงต้องหันไปใช้ บริการ SEM 

4. ความยั่งยืน

SEO ทำครั้งเดียวจบสามารถอยู่บนหน้าหนึ่งของ google ได้ตลอดไปตราบเท่าที่ยังไม่มีคู่แข่ง ส่วนการทำ SEM เสียเปรียบตรงที่หากผู้ประกอบการรายใดต้องการอยู่บนหน้าหนึ่งต่อไปต้องจ่ายค่าโฆษณาเพิ่มหยุดจ่ายเมื่อไหร่ถูก google ดีดนิ้วหายไปจากหน้าหนึ่งทันที

หากจะให้ตัดสินว่า ระหว่าง SEO กับ SEM อันไหนดีกว่ากันคงตอบยาก เพราะสุดแล้วแต่ว่าผู้ประกอบการแต่ละรายจะวางกลยุทธ์ในการขายอย่างไร  ถ้าต้องการเห็นผลไวก็ต้องเลือก SEM แต่ถ้าต้องการประหยัดเน้นหวังผลระยะยาวก็ต้องเลือก SEO หรืออาจจะทำไปพร้อม ๆ กันก็ได้

post

5 เรื่องพื้นฐานควรรู้เกี่ยวกับ SEO

ทุกวันนี้ถ้าเราอยากจะรู้อะไรก็หาคำตอบได้ง่าย ๆ ด้วยการ Search พิมพ์ Keyword ที่เราต้องการค้นหา แค่นี้คำตอบก็ขึ้นมามากมาย ซึ่งเว็บไซต์ที่เราจะเลือกคลิกเข้าไปคืออันดับต้น ๆ ที่ปรากฏขึ้นมา นั่นแสดงว่ามีการทำ SEO มาดี แล้ว SEO คืออะไร เรามาหาคำตอบกัน

SEO (Search Engine Optimization) คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ในด้านต่าง ๆ ให้ Search Engine ชอบ เพื่อที่จะได้ขึ้นไปอยู่ด้านบนสุดหรือระดับสายตาของการค้นหาอย่างใน Google, Bing, Yahoo ด้วยวิธีธรรมชาติของระบบโดยไม่ต้องเสียเงินโฆษณาหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้เพิ่มโอกาสให้คนเห็นและคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์เราได้เยอะขึ้น เพิ่มโอกาสการขายได้เพิ่มมากขึ้น

การจะทำ SEO นั้นก็มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งเราสามารถทำได้ไม่ยากเกินไป แต่ต้องอาศัยการปรับปรุง พัฒนาสม่ำเสมอ และความพยายาม โดยมีหลักการพื้นฐาน 5 ข้อ ดังนี้

1.Keyword
Keyword ต้องตรงกับเนื้อหาของธุรกิจหรือเว็บไซต์ ไม่ใช่ว่ามีแต่ Keyword แต่ข้างในไม่เกี่ยวข้องกัน เราต้องคิดว่าเนื้อหานี้คนที่เข้ามาจะค้นหาด้วยคำว่าอะไรได้บ้าง เปรียบเสมือนเครื่องมือทางการตลาดอย่างหนึ่งที่เข้าถึงได้ง่าย รวดเร็ว แค่ต้องหยิบมาให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าเพื่อที่จะเป็นคลิกที่มีคุณภาพ

2.ปรับปรุงเว็บไซต์สม่ำเสมอ
ควรอัปเดทเนื้อหาให้ Search Engine ได้รับข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ทันสมัยตลอดเวลาและในเว็บไซต์หรือเนื้อหาควรมีภาพประกอบเพื่อเพิ่มความน่าสนใจ น่าติดตาม นอกจากนี้จะเพิ่มในส่วนของวิดีโอเข้าไปด้วยก็ยิ่งดี เพราะไม่ว่าจะภาพประกอบหรือวิดีโอก็สามารถขึ้นไปปรากฏเป็นผลลัพธ์การค้นหาของ Search Engine ได้อีกด้วย

3.ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
ต้องดูน่าเชื่อถือตั้งแต่รูปแบบ โครงสร้าง สีสัน เนื้อหา ภาพประกอบ วิดีโอ ทุกอย่างต้องมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอย่างมีคุณภาพ มีโอกาสมากที่คนจะนำ Link ของเว็บไซต์เราไปอ้างอิงถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งของการทำ SEO

4.ความเร็วของเนื้อหาที่ปรากฏ
ความเร็วของเว็บไซต์หรือที่เรียกว่า Page Speed ถ้าคลิกแล้วหน้าเว็ปแสดงผลให้เห็นเร็วมากเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะคนจะอยู่ได้นานเพื่ออ่าน ซึ่งมีผลกับ SEO อย่างมาก ถ้าคนคลิกเข้ามาแล้วโหลดหน้าเว็บนานจะออกจากเว็บไซต์เราทันทีและไปเลือกชมเว็บไซต์อื่นแทน

5.อ่านง่ายบนมือถือ
ปัจจุบันคนเราจับมือถือมากกว่าอยู่กับคอมพิวเตอร์กันแล้ว เราควรคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย เพราะยุคนี้สมัยนี้อะไรก็ต้องง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว การจัดรูปแบบ องค์ประกอบของหน้าเว็บไซต์ก็ควรดึงดูดความสนใจได้ตั้งแต่แรกเห็น มองได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยและหลักการอื่น ๆ อีกมากมายในการทำ SEO ที่ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ทุกเว็บไซต์ที่ทำจะได้ขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ หรืออยู่บนสุดในการค้นหา เนื่องจาก Search Engine ใช้ อัลกอริทึม (Algorithm) ในการจัดอันดับและให้คะแนนตามที่ได้กำหนดขึ้นมาในระบบ สิ่งสำคัญที่เราจะทำได้เอง ควบคุมได้เองไม่ต้องลุ้นกับระบบก็คือ การพัฒนา ปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์เราอยู่ตลอดเวลาด้วยความใส่ใจที่เรามีต่อลูกค้า