post

จะเป็นนักเขียน SEO ต้องรู้อะไรบ้าง

การเป็นนักเขียน SEO เป็นอาชีพที่หลายคนใฝ่ฝันเพราะมีตลาดงานที่กว้าง สอดคล้องกับการทำ SEO หรือ search engine optimization ให้ธุรกิจยุคใหม่หลากหลายประเภท อันเป็นส่วนหนึ่งของเทคนิคการทำตลาดออนไลน์ที่นิยมมากในปัจจุบัน

งานนักเขียน SEO ต้องมีการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนไป แนวทางที่ Google กำหนดและเพิ่มเติมเรื่อย ๆ ในแต่ละปี เรามาดูกันว่าในปี 2020 นี้ การเป็นนักเขียน SEO ต้องทำอะไรบ้าง

นักเขียน SEO ต้องทำอะไรบ้าง

การกำหนดเนื้อหา บทความ SEO การใส่รายละเอียดในบทความ SEO จะต้องเข้ากับ keyword ที่สืบค้นหรือวิจัยมาแล้วว่าเหมาะสม ตรงกับการพิมพ์ในช่องสืบค้นหรือ google search ของลูกค้าเป้าหมาย และจะต้องเขียนโดยการวิเคราะห์ว่า ผู้อ่านต้องการที่จะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับอะไร เช่น หากคุณต้องการเขียนเรื่องมือถือรุ่นใหม่ที่ออกมา ก็ควรเข้าถึงมุมมองของผู้ที่กำลังมองหามือถือเครื่องใหม่ ว่าต้องการรู้ถึงรายละเอียดที่แตกต่างกับรุ่นเดิม ๆ ด้านใดบ้าง จึงจะทำให้บทความมีทางความน่าสนใจและตรงกับการค้นหาอย่างแท้จริง

การวางตำแหน่งของ keyword นอกจากผู้เขียนต้องใส่ keyword ในบทความแล้ว ยังต้องใส่อยู่ในองค์ประกอบด้านอื่น ๆ ให้ครบถ้วนด้วย เช่น

ส่วนของหัวเรื่องหรือ title เพื่อการดึงดูดใจให้คนอ่าน

ส่วนของ URL address ของบทความนั้น ๆ

ส่วนของ Meta Description หรือบทบรรยายสั้น ๆ ประมาณ 100 คำ ที่เป็นการแนะนำบทความกระตุ้นให้คนคลิกอ่านบทความฉบับเต็มในเว็บไซต์

ส่วนหัวข้อย่อยในบทความ เปรียบเหมือนสารบัญอย่างย่อ

การอธิบายรูปภาพประกอบบทความ ที่จะต้องใส่ keyword เดียวกับบทความด้วย โดยใส่ใน alt text จะทำให้ได้รับผู้ชมจากการค้นหารูปภาพที่ตรงประเด็นมากขึ้น

การศึกษาวิธีการทำทั้ง 5 จุดที่กล่าวมา จะทำให้เพิ่มโอกาสในการถูกสืบค้น และทำให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้นักเขียนได้รับการจ้างงานสม่ำเสมอยิ่งขึ้นนั่นเอง

ความเป็นธรรมชาติในเนื้อหาบทความ SEO แม้ว่าจะต้องมีการใส่ keyword ในจุดต่าง ๆ กระจายทั่วบทความ แต่ก็ไม่ควรที่จะซ้ำบ่อยเกินไป เทียบเป็นอัตราส่วน 2.5% หรือ 100 คำ จะมี keyword ไม่เกิน 3 ครั้งและต้องเลือกใช้ในประโยคอย่างเหมาะสม ไม่กระทบต่อการสื่อความหมายต่าง ๆ อันจะทำให้การสื่อสารผิดพลาดหรือรบกวนสายตาผู้อ่าน

ความสดใหม่ของบทความ เนื้อหาบทความ SEO ที่ดีต้องคิดและเขียนขึ้นใหม่ด้วยตัวเอง ไม่มีการคัดลอกจากแหล่งอื่น ๆ เพราะจะทำให้ระบบ algorithm ตรวจสอบได้ว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ จะทำให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์ที่นำบทความที่มีการคัดลอกไปใช้นั้น ถูกลดอันดับไปอยู่ด้านล่าง ๆ ได้

จะเห็นได้ว่า นักเขียน SEO จำเป็นต้องรู้หลักการในการทำอย่างเหมาะสม และพัฒนาตัวเองเสมอเพื่อให้ตอบโจทย์การทำธุรกิจออนไลน์ได้ดีที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีคอร์สสอนการทำ SEO อยู่มาก ควรที่จะศึกษาและลงเรียนในคอร์สที่มีวิทยากรมืออาชีพ จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น

จะเป็นนักเขียน SEO ต้องรู้อะไรบ้าง

post

SEO หัวใจสำคัญของการตลาดออนไลน์

เมื่อระบบการค้าขาย และการทำธุรกิจสมัยใหม่ เปลี่ยนมาอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ตามยุคดิจิทัล การทำตลาดจึงต้องมีเครื่องมือเฉพาะและแตกต่างไปจากวิธีการเดิม ๆ หากแต่อยู่บนพื้นฐานความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค หนึ่งในเครื่องมือหลักของการตลาดยุคดิจิทัลนั้น มีคำว่า SEO อยู่ด้วยแน่นอน

SEO เป็นคำย่อมาจาก Search Engine Optimization เป็นวิธีการที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ใน Search Engine ยอดนิยมอย่าง Google หรือ Bing เพื่อให้จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มตาม

ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากผู้คนบนโลกออนไลน์ได้ใช้ Search Engine โดยเฉพาะ Google เพื่อการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ตามความสนใจมากและบ่อย ไม่น้อยไปกว่า สื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook, Instagram และ Line ล่าสุดมีการรายงานข้อมูลว่าแต่ละวันจะมีคนค้นหาข้อมูลบน Google มากกว่า 3,500,000,000 ครั้ง หรือ 40,000 ครั้ง/วินาที ทั้งการหาข้อมูลสำหรับซื้อสินค้า,ข้อมูลร้านอาหาร ท่องเที่ยว และการจ้างงาน เว็บไซต์ที่สามารถแสดงข้อมูลเป็นอันดับต้น ๆ ของ Googleได้ จึงถือเป็นเว็บไซต์ที่มีจำนวนผู้เข้าชมเป็นจำนวนมหาศาลด้วยเช่นกัน หากจะให้เห็นภาพชัด ๆ ก็คงเปรียบได้กับเป็นร้านค้าที่อยู่ในทำเลทอง มีคนเดินผ่านไปมาตลอดเวลา ซึ่งทำให้ผู้คนเหล่านี้ได้เห็นสินค้าโดยไม่ต้องทำโฆษณาเลย

แล้วเจ้าของเว็บไซต์ควรทำ SEO อย่างไร ?

คำตอบง่าย ๆ คือต้องทำเว็บไซต์ให้ตรงตามเกณฑ์การของ Google ให้มากที่สุด โดยผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าสิ่งที่ Googleให้ความสำคัญมากเป็นลำดับต้น ๆ คือเรื่อง เนื้อหา โครงสร้างและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ โดยมีคำแนะนำถึงวิธีการและ เทคนิค SEO เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมคุณภาพให้กับเว็บไซต์ หลายเรื่องได้แก่

คีย์เวิร์ด (Keyword) ถือเป็นหัวใจสำคัญของเนื้อหาที่ปรากฏบนเว็บไซต์ คีย์เวิร์ด จะต้องสามารถสื่อความหมายได้อย่างชัดเจนว่าเว็บไซต์นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร และจำเป็นต้องระบุคีย์เวิร์ดในจุดต่าง ๆ ของเนื้อหาอย่างเหมาะสม

ความเร็ว ในการเปิดเนื้อหาเว็บไซต์ (Speed) ต้องมากพอ เนื่องจาก ผู้คนให้ความสำคัญกับการเปิดเนื้อหาเว็บไซต์ที่มีความรวดเร็วมากกว่า เรื่องของความเร็วนี้ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Google นำมาใช้คำนวณการจัดลำดับตำแหน่งผลการค้นหาเว็บไซต์ด้วย

ต้องรองรับการทำงานของแท็บเล็ตและ มือถือ (Responsive) เพราะทั้งสองอย่างนี้เป็นช่องทางการค้นหาเว็บไซต์และข้อมูลที่เติบโตอย่างรวดเร็วกว่าการค้นหาผ่านคอมพิวเตอร์

สร้างความเด่นให้กับรูปภาพ (Image) เนื่องจากมีการค้นหารูปภาพผ่าน Google มากขึ้น เจ้าของเว็บไซต์จึงต้องหาวิธีการช่วยให้รูปภาพเป็นที่รู้จักด้วย รูปภาพที่นำมาใช้บนเว็บไซต์ควรมีขนาดเหมาะสมกับพื้นที่ และควรใช้นามสกุลของรูปภาพให้ทันสมัย

นอกจากนี้ การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับเว็บไซต์ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัย (Security) ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ Google ให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะการมีระบบป้องกันการเข้าโจมตีของแฮกเกอร์ (Hacker)

เทคนิคและเคล็ดลับของ SEO เหล่านี้ หากถูกนำไปใช้อย่างเหมาะสมก็จะทำให้ตำแหน่งการค้นหาเว็บไซต์ใน Search engine อยู่ในลำดับต้น ๆ ได้ไม่ยาก

แล้วเจ้าของเว็บไซต์ควรทำ SEO อย่างไร

post

ข้อดีและข้อจำกัดเกี่ยวกับ SEO ที่ทุกคนควรรู้

SEO หรือ search engine optimization เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คนทำเว็บไซต์รุ่นใหม่ศึกษา และพัฒนาให้อันดับในการสืบค้นผ่าน Google ดีขึ้น เพื่อได้ผลลัพธ์ที่ดี คือ เพิ่มยอดขายและทำให้มีลูกค้ามากขึ้นต่อเนื่อง

แต่การทำ SEO ก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ซึ่งเราได้รวบรวมมาฝากกัน เพื่อให้ทุกท่านได้เข้าได้และคาดหวังผลได้ถูกต้องก่อนการเริ่มทำ ดังนี้

1. การทำ SEO ไม่จำเป็นต้องจ้าง

การทำ SEO สามารถเรียนรู้ทำได้ด้วยตนเองโดยการอ่านจากหนังสือเข้าคอร์สและเรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรง จะทำให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างบริษัทเอกชนได้ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเปิดร้านค้าออนไลน์ที่มีต้นทุนน้อย ควรลดต้นทุนให้มากที่สุด

แต่หากเป็นเว็บไซต์ใหญ่ ๆ หรือเจ้าของกิจการที่ต้องทำงานหลายอย่างพร้อม ๆ กัน เช่น การบริหาร การวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ฯลฯ ก็อาจเลือกจ้างทำ SEO ถ้าประเมินแล้วคุ้มค่าเวลามากกว่า

2. จ้างโฆษณา SEM เสริมได้

การทำโฆษณา SEM หรือ search engine Marketing เป็นการประมูลพื้นที่โฆษณาในหน้าผลการค้นหาของ Google ให้ปรากฏในอันดับต้น ๆ และต้องมีการประมูลพื้นที่ระหว่างหลาย ๆ เว็บไซต์ที่ต้องการใช้ keyword เดียวกัน เป็นสิ่งที่ควรทำเสริมกับ SEO เฉพาะช่วงที่มีโปรโมชั่นสินค้าใหม่ ๆ ที่ต้องการกระตุ้นยอดขาย โดยประเมินแล้วว่ารายได้จะคุ้มค่ากับรายจ่ายนี้

อย่างไรก็ตาม แม้จะทำ SEO อย่างเดียว เว็บไซต์คุณก็มีอันดับที่ดีและมียอดขายสูงได้ เพียงอาศัยความสม่ำเสมอในการทำ หากคุณเป็นบริษัทที่มีงบประมาณน้อย ไม่ต้องการลงทุนมาก แนะนำให้ทำ SEO เป็นหลักจนเข้าใจภาวะเสถียรของการตลาดออนไลน์ในสายธุรกิจตัวเอง หากมีงบประมาณเหลือจึงค่อยทำ SEM เสริม

3. ต้องใช้ระยะเวลาสะสมข้อมูล

การทำ SEO ต้องให้ระบบ algorithm ของ Google มาเก็บข้อมูลสำรวจเป็นระยะ โดยต้องเข้าไปใน Google search Console ลงทะเบียนยืนยันตัวตนและแจ้งโดเมนที่ต้องการให้ Google มาเก็บข้อมูลก่อน

การทำ SEO ต้องอาศัยระยะเวลาเห็นผลโดยเฉลี่ย 3 ถึง 6 เดือนสำหรับธุรกิจทั่วไป และอาจมากถึง 1 ปี สำหรับธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง เพื่อให้อันดับ average position เปลี่ยนแปลง ต่างจากการจ้างทำโฆษณาซึ่งเห็นผลในช่วงไม่กี่วัน

4. เสริมภาพลักษณ์ธุรกิจ

การทำ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์คุณดูทันสมัยและมีเอกลักษณ์ขึ้น เนื่องจากต้องมีการทำทั้งโครงสร้างเว็บไซต์ให้สวยงามใช้ง่าย ในระบบโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ การเชื่อมโยงลิงก์กับเพจหรือเว็บไซต์อื่น ๆ การใส่เนื้อหาที่มี keyword น่าสนใจตรงกับการสืบค้น ฯลฯ

การปรับปรุงองค์ประกอบเหล่านี้อยู่เสมอ จะทำให้แบรนด์ดูทันสมัยและมียอดขายที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนด้วย

จะเห็นได้ว่า SEO มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด การเรียนรู้ให้เข้าใจหลักการและนำมาพัฒนาเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับการทำการตลาดรูปแบบอื่น ๆ จะทำให้คุณมีโอกาสประสบความสำเร็จในธุรกิจมากยิ่งขึ้นได้

การทำ SEO ก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด