post

การติดตั้งและใช้งาน Rank Math SEO

Rank Math SEO จัดเป็น plugin ใหม่ที่กำลังมาแรงได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้พัฒนาเว็บไซต์คนรุ่นใหม่มากขึ้น เพราะสามารถตอบโจทย์ ใช้แทน Yoast SEO เวอร์ชั่นฟรีได้ และยังสามารถทำงานในฟังก์ชันต่างๆ ที่หลากหลายได้ยิ่งขึ้น ได้แก่ การมีคุณสมบัติส่งเสริมกับ WooCommerce ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์รุ่นใหม่ ที่ต้องการระบบในการจัดหมวดหมู่ ประเภทสินค้า การคิดคำนวณราคาค่าจัดส่ง และการหักค่าใช้จ่ายลูกค้าแบบต่างๆ ได้อย่างละเอียด นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อผิดพลาดที่เรียกว่า 404 Error ได้เป็นอย่างดี

วิธีการติดตั้ง Rank Math SEO

การติดตั้ง Rank Math SEO สามารถทำได้ง่ายๆ โดยคลิกเข้าไปที่ https://Wordpress.org/plugins/seo-by-rank-math/ จะทำให้ดาวน์โหลดปลั๊กอิน เพื่อใช้งานกับ WordPress ได้ในทันที

โดยหลังจากการติดตั้งแล้ว ให้เลือกตั้งค่าให้ Activate หลังจากนั้นระบบ Rank Math SEO จะให้คุณเลือกว่าจะให้ input หรือนำเข้าข้อมูลจาก plugin ชนิดใดให้คุณเลือกจากที่เคยใช้อยู่ เช่น Yoast SEO ที่คนส่วนใหญ่รู้จัก

หลังจากนั้น ให้กดปุ่ม Continue เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป ซึ่งจะต้องใส่ข้อมูลเว็บไซต์ของคุณ เพื่อให้ระบบทำการวิเคราะห์ได้ รวมถึงเลือกภาพหรือโลโก้ ที่จะให้ระบบไว้ใช้งาน เวลาที่มีการโพสต์บทความต่าง ๆ ขึ้นใน Google ซึ่งแนะนำว่าขนาดของภาพควรอยู่ที่ 160×90 ถึง 1920×1080 พิกเซล จึงจะเป็นขนาดความละเอียดที่เหมาะสม

กรณีที่คุณต้องการใช้งาน Google search Console ก็สามารถตั้งค่าให้เชื่อมต่อได้ ซึ่ง Google search Console เป็นตัวที่ช่วยวิเคราะห์ว่าเว็บไซต์ของคุณมีผลการทำ SEO อย่างไรบ้าง มีค่า CTR หรือสัดส่วนการคลิกของผู้เข้าชมมากน้อยเพียงใด รวมถึงเช็คว่าระบบของคุณมีการเก็บข้อมูลด้าน SEO ไปโดยระบบ algorithm ของ Google หรือยัง ในส่วนนี้ สามารถตั้งค่าได้ตามที่ต้องการโดยการคลิกที่ปุ่ม get authorization Code แล้วทำตามที่ระบบขึ้นข้อความ

ฟังก์ชั่นพิเศษที่ต่างจาก Yoast SEO คือ ความสามารถในการตรวจจับความผิดพลาดที่เรียกว่า 404 Monitor นั้น นับว่าเป็นคุณสมบัติที่เด่นชัดของ Rank Math SEO ที่สามารถปรับค่าแก้ไขให้ redirect ไปที่ URL ที่ต้องการได้ โดยกำหนดได้ด้วยตัวเองว่าเป็นการย้ายแบบชั่วคราว หรือถาวร เรียกว่าเป็นฟังก์ชั่นที่ช่วยประหยัดเวลาของผู้พัฒนาเว็บไซต์ได้เป็นอย่างมาก โดยไม่จำเป็นต้องเปิดผ่าน Google search Console แนะนำว่าฟังก์ชันนี้ควรตั้งให้ขึ้น On ทำงานไว้เสมอ

จะเห็นได้ว่า Rank Math SEO มีคุณสมบัติหลากหลายด้านที่ตอบโจทย์การทำเว็บไซต์ SEO ซึ่งยังมีการพัฒนา plugin อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์การทำธุรกิจออนไลน์ในยุค 5.0 ซึ่งนักพัฒนาเว็บไซต์ควรเรียนรู้การใช้งาน plugin อย่างคุ้มค่า เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านได้รู้จัก Rank Math SEO มากขึ้น และนำไปต่อยอดทำเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นต่อไป

วิธีการติดตั้ง Rank Math SEO

post

หา keyword อย่างไรให้เว็บไซต์ SEO มีอันดับ

การใช้ keyword ที่เหมาะสมในการทำบทความให้เว็บไซต์ SEO เป็นสิ่งที่จะต้องใส่ใจมาก เนื่องจาก keyword คือหัวใจของการผลิตบทความ หากเลือกคำที่ตรงกับการค้นหาของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจริง ๆ จะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสาร เชื่อมโยงสู่โอกาสในการสร้างแบรนด์ รวมถึงเพิ่มยอดขายสินค้าและบริการตามมาได้ การเลือก keyword จึงจำเป็นต้องดูเทคนิคแบบมืออาชีพ ดังนี้

ค้นหา keyword SEO คุณภาพอย่างไร

การหา keyword SEO ตามระบบ search engine optimization ที่ Google มีมาตรฐานในการคัดกรองคุณภาพของเว็บไซต์นั้น โดยทั่วไปสามารถหาได้จากวิธีที่ง่าย สะดวกและรวดเร็วที่สุด คือ การลองพิมพ์ด้วยตัวเองในช่อง Google Search เกี่ยวกับสินค้า เช่น หากคุณทำเว็บไซต์เพื่อขายเฟอร์นิเจอร์ ก็สามารถที่จะลองพิมพ์ใน ช่อง Google Search ดังกล่าว จากนั้นจะพบว่าระบบแสดงตัวอย่างคำแบบอัตโนมัติ เช่น คำว่า เฟอร์นิเจอร์ ชลบุรีเฟอร์นิเจอร์ไม้ เฟอร์นิเจอร์ มือสอง เฟอร์นิเจอร์ห้องนอน ฯลฯ คำเหล่านี้ คือ คำที่มีการใช้ค้นหาจริงในกลุ่มคนไทย ที่ต้องการหาเฟอร์นิเจอร์ไว้ในบ้าน

จากนั้นก็เลือกคำที่เหมาะสมกับสินค้าและบริการที่มีอยู่ เพื่อไปผลิตบทความ SEO ได้ต่อไป หรืออาจใช้การสังเกตจากคำแนะนำในด้านล่างของการค้นด้วย Google search ที่เรียกว่า Google related search จากที่เราพิมพ์คำลงไปแล้ว จะมีตัวอย่างคำต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ที่ด้านล่างสุดของหน้าจอ เช่น เฟอร์นิเจอร์ มินิมอล สไตล์ แนะนำ แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ เฟอร์นิเจอร์ สวย ลดราคา ฯลฯ คำเหล่านี้ก็สามารถนำมาผลิตบทความที่ไม่ซ้ำใคร ก็จะได้รับความดึงดูดใจจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

นอกจาก วิธีการแบบพื้นฐานที่กล่าวมาแล้ว ยังสามารถใช้เว็บไซต์ Ubersuggest ในการวิเคราะห์ โดยอ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ชั้นนำอันดับ 1-10 ต้น ๆ ในหน้าแรกของการสืบค้นด้วย Google search ว่ามีค่า Traffic หรือค่า CTR (Click through Rate) หมายถึงอัตราจำนวนครั้งของการคลิกเข้ามาชมต่อจำนวน 100 ครั้งที่มองเห็นในหน้าผลการค้นหา โดยแสดงผลแยกกันแต่ละ keyword ซึ่งหาก keyword ได้รับความนิยมสูง ก็สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างบทความ SEO โดยคาดหวังผลลัพธ์สูงได้ ว่าจะได้รับความนิยมมากเช่นเดียวกันกับเว็บไซต์ชั้นนำเหล่านั้น

หากเข้าไปชมในเว็บไซต์ Ubersuggest จะสังเกตได้ง่าย ๆ ว่าจะมี keyword ที่เป็น long tail keyword คือ keyword ที่มีความยาวและจำเพาะเจาะจงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่มีค่า traffic และ CTR สูง เช่น คำว่า เฟอร์นิเจอร์ มือสอง ญี่ปุ่น, เฟอร์นิเจอร์ ห้องนอน ราคาถูก, เฟอร์นิเจอร์ สวย ๆ ราคาถูก เป็นต้น ซึ่งการใช้ข้อมูลทางสถิติเหล่านี้และตัวอย่างจากผลการวิเคราะห์ของระบบมาช่วยในการเลือก keyword SEO ก็สามารถทำให้ได้บทความที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่าวิธีในการเลือก keyword มาใช้ในบทความ SEO มีอยู่หลายวิธี หวังว่าเทคนิคที่นำเสนอข้างต้น จะเป็นประโยชน์ต่อคนทำเว็บไซต์ SEO ในการเสริมสร้างความสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์มากยิ่งขึ้น

หา keyword อย่างไรให้เว็บไซต์ SEO มีอันดับ

post

ทำไมจึงควรทำ SEO ตั้งแต่เนิ่นๆ ที่เปิดเว็บไซต์

SEO เป็นเทคนิคที่นักการตลาดชั้นนำแนะนำให้ผู้ที่กำลังคิดเปิดเว็บไซต์ที่เป็นคนรุ่นใหม่ยุค 2019 ทำตั้งแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการได้มากยิ่งขึ้น เสริมอำนาจในการแข่งขันทางการตลาดได้สูงเทียบเคียงกับเว็บไซด์ที่เปิดมานานนับ 10 ปี ขอเพียงมีความสม่ำเสมอในการทำ SEO เท่านั้น

การทำ SEO Search Engine Optimization ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ

1. On-Page SEO เป็นการออกแบบและปรับปรุงโครงสร้างภายในเว็บไซต์และองค์ประกอบต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ได้แก่

การผลิตบทความที่ใช้ Keyword เหมาะสม ไม่ใส่เกิน 3-4 Keyword ต่อหนึ่งเรื่องโดยมีการกระจายอยู่ในส่วนต่าง ๆ ที่ทำให้บทความอ่านแล้วธรรมชาติ ที่สำคัญ คือ ต้องมีความทันสมัยในเนื้อหา และไม่มีการละเมิดลิขสิทธิ์จากเพจอื่น อันทำให้บทความนั้นกลายเป็นสแปม (Spam) ที่ทำให้อันดับ SEO ร่วงลงไปได้

การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ง่าย ทั้งในหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีการวิจัยว่า ผู้บริโภคยุคใหม่ใช้โทรศัพท์มือถือในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ผู้ที่กำลังคิดทำเว็บไซต์ในปีนี้ จึงควรคิดและใส่ใจองค์ประกอบด้านนี้ให้มาก

การคิดโลโก้และสีธีมที่จะใช้ประจำเว็บไซต์ ควรจะสื่อสารถึงแบรนด์ที่ชัดเจน เช่น คุณผลิตสินค้าที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ ก็ควรจะใช้สีประจำเพจ เป็นสีน้ำตาล สีครีม สีเขียว ที่สื่อสารถึงความปลอดภัย ไร้สารพิษ เป็นต้น

2. Off-Page SEO เป็นการเชื่อมโยงเว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณ เข้ากับเว็บไซต์ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่ขายสินค้าในหมวดที่เชื่อมโยงกันได้ เช่น คุณขายผลิตภัณฑ์จำพวกของใช้เด็ก ก็สามารถเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนลิงก์กับเว็บไซต์ที่ขายสินค้าสำหรับแม่ตั้งครรภ์ ของเล่นเด็ก อาหารเพื่อสุขภาพ ฯลฯ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังสามารถแนะนำข้อมูลที่มีประโยชน์แก่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ที่รวมตัวกันในห้องแชทต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสนใจในการดูแลสุขภาพด้วยการเลือกบริโภคน้ำสะอาด และน้ำผักผลไม้สดยิ่งขึ้น กรณีที่คุณขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น เครื่องกรองน้ำ เครื่องปั่นน้ำผลไม้ เครื่องสกัดแยกกากผักผลไม้ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า เทคนิคการทำ SEO เป็นสิ่งที่สามารถเริ่มได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ในการออกแบบพัฒนาเว็บไซต์ เพื่อให้ไม่ต้องแก้ไขในภายหลัง อันจะเป็นการเสียโอกาสในการแข่งขันกับธุรกิจรายอื่น ทั้งยังเป็นวิธีที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาให้ Search Engine แม้แต่บาทเดียว

หวังว่าบทความนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกท่านที่ต้องการเปิดเว็บไซต์ทำธุรกิจออนไลน์ และให้ความสำคัญกับการทำ SEO ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นยิ่งขึ้น เพื่อให้ประสบความสำเร็จทั้งด้านยอดขายและมีลูกค้าประจำเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว

Off Page SEO เป็นการเชื่อมโยงเว็บไซต์

post

ทำไมการทำ Meta description จึงสำคัญต่อการทำเว็บไซต์ SEO

การทำเว็บไซต์ SEO หรือ ทำตามระบบ search engine optimization ที่ Google กำหนด เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากระบบ algorithm ของ Google จะวิเคราะห์คุณภาพของเว็บไซต์และจัดอันดับให้อยู่ด้านบนในหน้าต่างการนำเสนอ เมื่อมีการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดหนึ่ง ๆ จึงมีโอกาสที่จะขายสินค้าและบริการได้มากกว่าเว็บไซต์อื่น ๆ

meta description สำคัญอย่างไร

การทำ meta description ที่เหมาะสม ยังเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการทำให้เว็บไซต์ SEO สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ดี เพิ่มอัตราการคลิกเข้ามาชมข้อมูลเพิ่มในเว็บไซต์ และเพิ่มยอดขายสินค้าได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจาก meta description เป็นการสรุปความของเนื้อหาเพจ ที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายสามารถใช้เวลาอ่านเพียงไม่กี่วินาที เพื่อการประเมินว่าควรคลิกเข้ามาอ่านข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียดเพิ่มเติมในเพจหรือไม่

หากเว็บไซต์ใดที่ปฏิบัติตามหลัก SEO ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงในส่วนโครงสร้าง การทำ link เชื่อมโยงเพจ การผลิตบทความที่มีคุณภาพ แต่ไม่ได้ทำ meta description ก็เท่ากับขาดส่วนสำคัญในการดึงดูดใจลูกค้า

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเว็บไซต์จำนวนมาก ที่ใช้เทคนิคการผลิตบทความที่มีการซ้ำคัดลอกหรือมีเนื้อหาที่เป็นการขายสินค้ามากจนเกินไป ซึ่งทำให้ผู้ใช้บริการไม่ประทับใจและรู้สึกว่ากำลังเสียเวลาในการอ่านข้อมูล การมีส่วน meta description ที่จะแสดงทุกครั้งใต้ส่วน title หรือ หัวเรื่อง เมื่อลูกค้าพิมพ์ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ด ใน Google search จะทำให้ลูกค้าเห็นข้อมูลสรุปก่อนที่จะคลิกเข้ามา เท่ากับช่วยลดความเสี่ยงในการต้องเสียเวลากับเว็บไซต์ที่คุณภาพต่ำmeta description สำคัญอย่างไร

บริษัทรับจ้างทำ SEO หรือ นักเขียนงานแนว SEO จึงควรทำส่วน meta description ที่มีคุณภาพ มีคีย์เวิร์ดตรงกับในบทความและหัวข้อที่นำเสนอ เพื่อแสดงถึงความจริงใจและความซื่อสัตย์ต่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย อันเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ สร้างความทันสมัยให้แก่เว็บไซต์ และทำให้มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคลิกเข้ามาอ่านข้อมูลสินค้าและบริการ ทั้งเลือกซื้อสินค้าที่จำหน่ายมากยิ่งขึ้น

ส่วน meta description ควรจะจำกัดความยาวให้อยู่ที่ประมาณ 150 คำ เนื่องจากวัตถุประสงค์ในการทำ คือ เป็นการสรุปความที่ลัดสั้น จึงควรมีความกระชับ ตรงประเด็น และใช้ภาษาที่เป็นทางการเชื่อถือได้ให้มากที่สุด จะทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมั่นใจได้ว่าข้อมูลในเว็บไซต์จะตรงกับสินค้าและบริการที่กำลังมองหา ขณะเดียวกันก็จะทำให้อันดับของ SEO จากระบบ algorithm วิเคราะห์ได้ดียิ่งขึ้น (หากความยาวมากเกินไป จะเป็นผลลบต่อการจัดอันดับ SEO แทน)

จะเห็นได้ว่า ส่วน meta description มีความสำคัญ ควรทำโดยผู้มีความชำนาญ เพื่อให้ลูกค้าเป้าหมายเข้าใจประเด็นที่ต้องการสื่อสารได้ดี และช่วยดึงดูดใจให้คลิกเข้ามาชม เพื่อส่งเสริมอันดับ SEO เพิ่มค่า traffic และเพิ่มยอดขายสินค้าและบริการให้มากยิ่งขึ้น

post

เมื่อทำเว็บไซต์ SEO จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างกับธุรกิจคุณ

การทำเว็บไซต์ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นกลยุทธ์การตลาดที่นักธุรกิจออนไลน์ยุคใหม่ได้รับคำแนะนำจากกูรูที่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลากหลายด้านกับธุรกิจออนไลน์ ทั้งนี้ ท่านที่ยังสงสัยหรือเป็นมือใหม่ในวงการซื้อขายออนไลน์อาจยังไม่เข้าใจ SEO ดีนัก เราจึงได้รวบรวมการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับเว็บไซต์ของคุณ หากทำ SEO ให้เว็บไซต์ออนไลน์เสียแต่วันนี้

ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า SEO เป็นการพัฒนาเว็บไซต์ตามระบบที่ Search Engine กำหนดเพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่สร้างสรรค์เว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูง จะถูกแสดงเป็นอันดับต้น ๆ ในหน้าต่างการสืบค้น เมื่อมีกลุ่มคนเป้าหมายใช้ Keyword SEO ที่ตรงกัน ก็จะปรากฏเว็บไซต์คุณเป็นอันดับที่ 1- 10 ที่สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า ทำให้มียอดการคลิกเข้ามาชมและมีโอกาสขายสินค้าได้สูง สิ่งที่จะเกิดตามมาเมื่อคุณทำ SEO ให้เว็บไซต์ จึงมีดังนี้

1. ทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และสร้างการจดจำได้ เช่น เมื่อต้องการใช้บริการร้านดอกไม้ออนไลน์ก็จะนึกถึงร้านคุณเป็นอันดับต้น ๆ หากปรากฏผลทุก ๆ ครั้งที่ค้นหา เพราะคุณทำ SEO สม่ำเสมอ

2. ทำให้ยอดขายสูงขึ้น จากที่กล่าวไปแล้ว เมื่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเห็นชื่อเว็บไซต์คุณเป็นอันดับต้น ๆ ก็จะเกิดการคลิกเข้ามาชมข้อมูลและสั่งซื้อสินค้าด้วยความไว้วางใจมากกว่าเว็บไซต์อันดับล่าง ๆ

3. เกิดภาพลักษณ์ที่ดี หากคุณสร้างบทความ SEO ที่มีคุณประโยชน์แก่คนอ่าน เช่น การเลือกสีดอกไม้ให้ผู้รับในโอกาสต่าง ๆ เทคนิคการสังเกตดอกไม้ว่าสดใหม่ เป็นต้น จะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจในคุณภาพของบทความ และหากมีการทำคลิปวีดีโอการจัดดอกไม้ไว้ด้วย ก็ยิ่งทำให้ลูกค้าเห็นว่าคุณมีความตั้งใจในการทำเว็บไซต์มาก จะได้รับการสนับสนุนสั่งจองดอกไม้ และมีภาพลักษณ์ที่ดีในระยะยาว

4. ลูกค้าประจำช่วยบอกต่อ เมื่อทำ SEO ต่อเนื่อง จะทำให้มีลูกค้ามาใช้บริการซ้ำมากขึ้น และเกิดกระแสบอกต่อ ทำให้ธุรกิจขยายตัว เกิดลูกค้ากลุ่มใหม่ตามมา

5. ขยายกิจการไปยังลูกค้าต่างประเทศ การทำเว็บไซต์ SEO ที่เป็นระบบ 2 ภาษา เช่น มีภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษด้วย จะทำให้มีโอกาสที่ Keyword จะถูกค้นพบโดยชาวต่างชาติจากการค้นหาใน Google, Bing, Yahoo คุณจึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาในต่างประเทศ ดังนั้น SEO จึงเป็นเทคนิคที่ช่วยประหยัดต้นทุนทางธุรกิจได้อย่างมาก

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ทางธุรกิจทุกประเภท จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างทวีคูณ หวังว่าบทความนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกท่านใส่ใจการทำเว็บไซต์ SEO กันมากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในกิจการระยะยาว

SEO เป็นการพัฒนาเว็บไซต์ตามระบบ

post

ทำไมทำธุรกิจการโรงแรมจึงต้องทำเว็บไซต์ SEO

การทำรีสอร์ตและการโรงแรมเป็นประเภทธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความผันผวนมาก และระบบเศรษฐกิจส่งผลทำให้การท่องเที่ยวลดน้อยลงโดยภาพรวม

นักธุรกิจกลุ่มการโรงแรมจึงจำเป็นต้องทำเว็บไซต์เพื่อให้มีโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์โปรโมชั่นห้องพักในวันต่าง ๆ ตามเทศกาลด้วย

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเทคนิคการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ควบคู่กับการเสริมภาพลักษณ์ของโรงแรมได้ โดยนักธุรกิจการโรงแรมต้องให้ความสำคัญกับ 2 องค์ประกอบหลัก คือ

1. ส่วน On-Page SEO ได้แก่

การเลือก Keyword ที่เหมาะสม ตรงกับการสืบค้นของกลุ่มนักท่องเที่ยว เช่น รีสอร์ตของคุณเหมาะกับนักท่องเที่ยวกลุ่มใด วัยทำงาน เดินทางคนเดียว หมู่คณะหรือแบบครอบครัว คนไทยหรือชาวต่างชาติ จะต้องเลือก Keyword ที่เหมาะสมในการเขียนบทความและหัวข้อที่ดึงดูดใจให้คนเข้ามาคลิกชมเพจ

คุณภาพของบทความ ต้องเลือกทีมนักเขียนที่มีประสบการณ์ในการท่องเที่ยวเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนักท่องเที่ยวมักมองหาสถานที่แปลกใหม่ที่ใกล้กับโรงแรมที่พัก หากเลือกทีมนักเขียนที่ไม่สามารถผลิตเนื้อหาเชิญชวนให้รู้จักสถานที่ท่องเที่ยวได้ ก็จะทำให้การทำ SEO ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร (ทั้งนี้ ต้องไม่มีการคัดลอกข้อมูลจากแหล่งอื่น เพราะจะทำให้ถูกลดอันดับ SEO และเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย)

เลือกธีมสีตัวอักษร ออกแบบโลโก้ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ เพราะจะทำให้ลูกค้าจดจำสถานที่พักของคุณได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ ควรเลือกสีให้ความรู้สึกเป็นมิตรและเป็นกันเองกับนักท่องเที่ยว เช่น โทนสีอบอุ่น อย่างสีน้ำตาล สีครีม สีเขียว เป็นต้น

การสร้างสื่อหรือคลิปที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์ของห้องพักรีสอร์ต รวมถึงบรรยากาศทั้งภายในและโดยรอบของโรงแรม โดยต้องสอดคล้องกับ Keyword ที่เลือกใช้

2. ส่วน Off-Page SEO

เป็นการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ตามห้องสนทนาต่าง ๆ เช่น Pantip หรือ Facebook เพื่อให้ผู้ที่สนใจอ่าน ทั้งนี้ หากมีผู้ขอคำแนะนำสถานที่พัก คุณก็สามารถแปะลิงก์เว็บไซต์โรงแรม เพื่อให้เกิด Traffic มาที่เว็บไซต์ จะทำให้เพิ่มอันดับ SEO ในการค้นหาดีขึ้น และเพิ่มฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นด้วย

หากต้องการเพิ่มยอดจองห้องพักให้สูงขึ้นตลอดทั้งปี ควรเร่งศึกษาการทำ SEO และปรึกษานักพัฒนาเว็บไซต์หรือผู้ออกแบบเว็บไซต์ที่มีประสบการณ์ เพื่อการปรับปรุงให้เหมาะสมตามหลักเกณฑ์ของ Search Engine ทั้ง Bing, Yahoo และ Google แม้การทำ SEO ต้องใช้เวลาในการเห็นผล 6 เดือนถึง 1 ปี แต่ก็นับว่าคุ้มค่ากับผลที่ได้ในระยะยาว

จากที่กล่าวมา จึงสรุปได้ว่าการทำเว็บไซต์ SEO มีความสำคัญต่อเว็บไซต์การโรงแรม ให้ถูกจัดอยู่ในอันดับการสืบค้นที่ดีขึ้น ส่งผลต่อให้ธุรกิจการโรงแรมของคุณได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณา

ทำไมทำธุรกิจการโรงแรมจึงต้องทำเว็บไซต์ SEO

post

จะขายของออนไลน์ ต้องรู้จัก SEO

การทำ SEO เป็นเทคนิคการตลาดที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจที่มีการซื้อขายผ่านทางอินเทอร์เน็ตหรือออนไลน์กันเป็นจำนวนมาก

การทำ SEO จึงเป็นช่องทางที่ผู้ขายสินค้าออนไลน์ยุคปัจจุบันต้องทำความรู้จัก เพื่อให้เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและมีความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งทางธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization จะประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือส่วน On-page SEO และส่วน Off-page SEO

1. ส่วน On-page SEO เป็นการพัฒนาโครงสร้างเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานให้สะดวกสวยงาม เช่น การทำหน้าจอให้เป็นหมวดหมู่สินค้าอย่างเหมาะสม แยกพื้นที่โฆษณาให้ชัดเจน การเลือกสีที่สบายตาเป็นธีมของเว็บไซต์และเป็นเอกลักษณ์

การออกแบบฟอนต์ตัวอักษรที่ให้ความรู้สึกสอดคล้องกับแบรนด์สินค้า รวมถึงการใส่เนื้อหาหรือ Content ที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่เข้ามาหาข้อมูลจากเว็บไซต์

2. Off-page SEO จะเป็นการสร้างลิงก์เพื่อเชื่อมโยงเว็บไซต์ของคุณกับเว็บไซต์ภายนอก ทำให้สามารถเพิ่มกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้เป็นจำนวนมาก เช่น การแนะนำเว็บไซต์ของคุณในห้องสนทนาที่เกี่ยวกับปัญหาการใช้สินค้าประเภทเดียวกับที่คุณจำหน่าย ซึ่งจะเกิดการขยายวงในโลกโซเชียลหรือมีการบอกต่อเว็บไซต์ไปเรื่อย ๆ หรืออาจจะเกิดจากบุคคลอื่นสร้างลิงก์มาสู่เว็บไซต์ขายสินค้าของคุณก็ได้เช่นกัน

การทำ SEO ให้เว็บไซต์ขายของออนไลน์ มีข้อดีหลายประการ ดังนี้

1. ทำให้ลดต้นทุนทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นวิธีที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา การพัฒนาเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับระบบของ Bing, Yahoo หรือ Google ซึ่งเป็น Search Engine อันดับต้น ๆ ของโลกได้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้คุณไม่ต้องเสียจ้างบริษัททำการโฆษณาประชาสัมพันธ์อีกหลายหมื่นหลายแสนบาทต่อเดือนเลยทีเดียว

2. ตัดความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายแอบแฝงจาก Search Engine เนื่องจากการทำ SEO เพื่อให้มีอันดับสูงในหน้าต่างการสืบค้น ไม่สามารถที่จะทำการจ่ายเงินซื้อพื้นที่โฆษณาได้ ต้องมาจากการพัฒนาคุณภาพเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับระบบ SEO เท่านั้น จึงไม่มีการเรียกเก็บเงินจาก Search Engine ให้ต้องกังวลใจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างแน่นอน

3. เพิ่มยอดขายได้ทวีคูณ จากลูกค้าเก่าและใหม่เนื่องจากเมื่อลูกค้าเก่าได้มีโอกาสเห็นเว็บไซต์ของคุณ จะเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมาได้

ส่วนลูกค้าใหม่ที่เห็นเว็บไซต์ขายสินค้าของคุณ ก็จะเป็นช่องทางเลือกใหม่ ๆ ในการซื้อสินค้า การทำ SEO เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยทำให้คุณได้ลูกค้าทั้งสองกลุ่มนี้ จนเพิ่มยอดขายได้ชัดเจนในเวลาไม่นาน

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO เป็นเทคนิคที่ให้ประโยชน์ได้หลากหลายช่วยประหยัดต้นทุนธุรกิจ เพิ่มลูกค้าควบคู่กับยอดขายได้ในเวลาเดียวกัน หวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านเห็นข้อดีของการทำ SEO และรีบศึกษาเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด

การทำ SEO เป็นเทคนิคการตลาดที่ได้รับความนิยมมาก

post

รู้ได้อย่างไรว่าคีย์เวิร์ดใดยากง่ายในการทำ SEO

การทำ SEO นั้น เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่ต้องอาศัยประสบการณ์อย่างมาก หากคุณเป็นมือใหม่อยากทำ SEO ก็จะใจร้อนไม่ได้เลย เพราะต้องอาศัยการสังเกตและเผ้าติดตามอย่างอดทน และแน่นอนสิ่งที่คุณต้องเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือ คีย์เวิร์ด ต่าง ๆ นั่นเอง

คีย์เวิร์ดนั้นมีเป็นร้อยเป็นพันคำ แล้วคำไหนล่ะที่เหมาะสมที่จะนำมาทำ SEO ในบทความนี้เราจะมาดูกันก่อนว่าลักษณะของคีย์เวิร์ดที่ยากและง่ายนั้น เป็นอย่างไร

คีย์เวิร์ดที่ยากในการแข่งขัน

คีย์เวิร์ดที่ยากที่สุด คือ คำเดียว เช่น ดูดวง หางาน ฟังเพลง โหลดเกม หาเพื่อน ความรัก หวย ประกาศ คอนโด บ้าน หมา แมว เป็นต้น ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะใช้ในการค้นหาสิ่งที่ต้องการเหล่านี้ในแต่ละวันเป็นจำนวนครั้งที่สูงมาก หรือเป็นคีย์เวิร์ดที่อยู่ในวงการธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง เช่น ประกันชีวิต ประกันรถยนต์ เงินฝากดอกเบี้ยสูง เป็นต้น ซึ่งการทำ SEO ให้กับคีย์เวิร์ดเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะการแข่งขันสูงมาก ต้องใช้ทั้งเงินและเวลาในการสร้างเครือข่ายและเนื้อหาที่โดนใจคนอ่าน ต้องมีเนื้อหาใหม่ ๆ มาคอยอัปเดตและเป็นเนื้อหาที่ถูกต้อง มีความน่าเชื่อถือและได้รับการรับรองจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก จึงจะทำให้เว็บไซต์สามารถติดอันดับหน้าแรกด้วยคีย์เวิร์ดสั้น ๆ เพียงคำเดียวได้

คีย์เวิร์ดที่ง่ายในการแข่งขัน

ในทางตรงข้ามกับคีย์เวิร์ดที่ยาก คีย์เวิร์ดที่ง่ายก็คือมีจำนวนพยางค์มากกว่า มีคำมากกว่า ก็จะทำให้แข่งขันได้ง่ายขึ้นเพราะคู่แข่งน้อยลง หรือจะเรียกว่ามีความตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่า กล่าวคือเป็นนิชคีย์เวิร์ด (Niche Keyword) การใช้คีย์เวิร์ดลักษณะวลีหรือประโยค แบบ 2 คำ หรือ 3 คำ ก็จะมีความเจาะจงมากกว่า สื่อถึงสินค้าและบริการของคุณจริง ๆ เช่น เป็น คีย์เวิร์ด+ชื่อสถานที่ คีย์เวิร์ด+คุณศัพท์อื่น ๆ เช่น “รับจ้างเลี้ยงหมา รายวัน ราคาไม่แพง” หรือ “ซักแห้ง คลองเตย” หรือ “ร้านดอกไม้ ทิวลิป เอกมัย” คำเหล่านี้ดูจะเป็นคีย์เวิร์ดที่สามารถทำเงินได้ดีมากด้วย เพราะมีความเจาะจงมากกว่า

คีย์เวิร์ดที่ยากในการแข่งขัน

ในการเริ่มต้นนั้น คุณควรจะเริ่มจาก คีย์เวิร์ดที่ง่ายในการแข่งขันก่อน เพราะว่าใช้ระยะเวลาไม่นานเกินไป อีกทั้งง่ายต่อการติดอันดับหน้าแรกของ Google ด้วย เมื่อทำได้แล้วก็จะสร้างกำลังใจให้กับคุณว่าสามารถทำได้เช่นกัน ซึ่งระหว่างที่ทำ SEO คีย์เวิร์ดง่าย ๆ มานั้น คุณก็จะได้เรียนรู้เพิ่มเติมและมีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น รู้ว่าสิ่งใดทำแล้วเห็นผลสิ่งใดไม่เห็นผล ซึ่งจะเป็นความรู้เฉพาะตัวที่ไม่มีใครมาเอาไปจากคุณได้ หลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นคีย์เวิร์ดยากหรือง่าย คุณก็มีความมั่นใจที่จะลงมือทำ SEO อย่างไม่ย่อท้อแล้ว

post

กลยุทธ์การใช้คีย์เวิร์ดเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO

เว็บไซต์มีการแข่งขันกันตลอดเวลา การจัดอันดับเว็บใน Google จึงปรับเลื่อนขึ้นและลงอยู่เสมอ ใครหยุดนิ่งอยู่กับที่ก็มีแต่ละถูกลดอันดับลงไปเรื่อย ๆ สิ่งที่ทำให้การจัดอันดับดีขึ้นมีหลายปัจจัยด้วยกัน บทความคือองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าเป้าหมายเข้าใจธุรกิจและสินค้าเพิ่มขึ้น มีโอกาสรู้จักแบรนด์และกระตุ้นยอดขายมากขึ้น ไม่เฉพาะการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพหรืออัปเดตคอนเทนต์ใหม่ ๆ เท่านั้น การวิจัยคีย์เวิร์ดก็เป็นขั้นตอนจำเป็นเพื่อดึงดูดผู้เข้าชมและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือค้นหา ช่วยให้การตลาดออนไลน์ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

การเลือกคำหลักและใส่ลงในบทความจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรรู้ มีคำแนะนำมาฝากกันดังนี้

1.ค้นหาคำหลักที่เหมาะสม

การเลือกคีย์เวิร์ดเป็นขั้นตอนสำคัญในการเขียนบทความเพื่อทำ SEO โดยพิจารณาคำที่ตรงกับธุรกิจและอุตสาหกรรม สินค้าและบริการ ก่อนอื่นจะต้องรู้ว่าคำหลักคำใดดีที่สุดสำหรับเว็บไซต์เพื่อใช้เป็นตัวหลักในบทความ ส่วนคำอื่น ๆ เป็นคำรองที่สลับกันได้ในแต่ละบท มีเครื่องมือฟรีมากมายช่วยทำการวิจัยคำหลัก เช่น Google Keyword หรือเครื่องมือยอดนิยมที่ต้องเสียเงิน เช่น AHREFS, Semrush, Woorank

โดยคำหลักที่ดีต้องไม่มีการแข่งขันสูงเกินไป ตัวอย่างเช่น “ช่างซ่อมรถยนต์” เป็นคำทั่วไปที่จะปรากฏคำค้นหาจำนวนมาก ควรเลือกคำหลักที่เฉพาะเจาะจงกว่านั้น เช่น “ช่างซ่อมรถยนต์ในเขตปทุมวัน กรุงเทพฯ” นอกจากนี้ยังใช้คำหลักที่มีความยาว 3-4 คำขึ้นไปเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและสะดวกกับเครื่องมือค้นหาด้วย เช่น “วิธีตรวจเช็คสภาพรถยนต์เบื้องต้น” หรือ “จุดตรวจเช็ครถก่อนเดินทางไกล” และ “การตรวจระดับน้ำมันต่าง ๆ ” สามารถใส่ลงในหัวข้อบทความได้เลย ทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายค้นพบบทความและเว็บไซต์ได้ง่าย สามารถติดต่อขอข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติมในภายหลัง

2.ใช้คำหลักในตำแหน่งที่ถูกต้อง

เมื่อค้นพบคำหลักตรงเป้าหมายแล้วให้ใช้เพียง 1-2 คีย์เวิร์ดในแต่ละบทความ ตำแหน่งที่เหมาะสมคือพาดหัวบทความ ย่อหน้าแรก ส่วนที่เหลือกระจายไปในแต่ละย่อหน้า และย่อหน้าสุดท้าย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เครื่องมือค้นหามีการรวบรวมข้อมูลทำให้รู้ว่าโพสต์นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ถ้าบทความค่อนข้างสั้นไม่จำเป็นต้องใส่คีย์เวิร์ดถี่เกินไป อย่างน้อยควรมี 1 คำในย่อหน้าแรกที่เป็นคำนำ และอีก 1 คำในย่อหน้าสุดท้ายที่เป็นบทสรุป คีย์เวิร์ดจะต้องกลมกลืนไปกับเนื้อหาอย่างเป็นธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการใช้คำที่ไม่เกี่ยวข้องหรือคำศัพท์เฉพาะอย่างเช่นศัพท์ทางเทคนิคและวิศวกรรมต่าง ๆ ซึ่งยากเกินไปไม่มีประโยชน์กับการทำ SEO แนะนำให้เลือกคำทั่วไปที่คนส่วนใหญ่ใช้ในการค้นหาข้อมูล สุดท้ายตรวจสอบให้แน่ใจว่าคำหลักนั้นมีอยู่ใน URL และ Meta Tag ซึ่งเป็นคำอธิบายรายละเอียดของเนื้อหาในหน้าเว็บนั้น เพื่อสร้างเส้นทางให้ผู้ค้นหาพบเห็นและคลิกเพื่ออ่านบทความเต็ม

การเขียนบทความที่กระชับ เพิ่มหัวข้อย่อยและมีย่อหน้าเล็ก ๆ จะเพิ่มประสิทธิภาพของหน้าเว็บให้อ่านง่ายบนหน้าจออุปกรณ์มือถือ ซึ่งทาง Google เริ่มให้ความสำคัญในการจัดอันดับหน้าเว็บยอดนิยมเมื่อเร็ว ๆ นี้ เนื้อหาที่อ่านง่าย มีขนาดที่เหมาะสมสำหรับหน้าจอ ถือว่าตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างยอดเยี่ยมจะได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นด้วย

การเลือกคำหลักและใส่ลงในบทความ