post

SEO: สิ่งสำคัญที่ Web Developer ควรเรียนรู้

สำหรับนักพัฒนาเว็บที่ต้องการพัฒนาทักษะ SEO (Search Engine Optimization) มีแนวคิดและแนวปฏิบัติที่สำคัญมากมายให้เรียนรู้ SEO มีความสำคัญในการเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ในผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเข้าชมเว็บไซต์และความสำเร็จโดยรวม ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญด้าน SEO ที่นักพัฒนาเว็บควรมุ่งเน้น

1.ทำความเข้าใจวิธีการทำงานของเครื่องมือค้นหา: การรู้พื้นฐานของอัลกอริธึมของเครื่องมือค้นหา วิธีการจัดทำดัชนีและจัดอันดับเนื้อหา สามารถแนะนำกลยุทธ์ SEO ที่มีประสิทธิภาพได้

2.เทคนิค SEO: ซึ่งรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างของเว็บไซต์เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีได้โดยเครื่องมือค้นหา ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วไซต์ ความเหมาะกับมือถือ การเชื่อมต่อที่ปลอดภัย (HTTPS) การสร้างแผนผังไซต์ XML และการปรับปรุงสถาปัตยกรรมเว็บไซต์

3.การวิจัยและการเพิ่มประสิทธิภาพคำหลัก: การระบุและการใช้คำหลักที่เหมาะสมในเนื้อหาและเมตาแท็กของเว็บไซต์ของคุณ (เช่น แท็กชื่อและคำอธิบายเมตา) สามารถช่วยปรับปรุงการมองเห็นสำหรับคำค้นหาเหล่านั้น

4.คุณภาพและความเกี่ยวข้องของเนื้อหา: เครื่องมือค้นหาชื่นชอบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและคุณภาพสูง สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างเนื้อหาที่ตอบสนองความตั้งใจของกลุ่มเป้าหมายของคุณ และใช้คำหลักอย่างเป็นธรรมชาติภายในเนื้อหานั้น

5.On-Page SEO: นอกเหนือจากคำหลักแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพหน้าเว็บแต่ละหน้าเพื่อให้มีอันดับสูงขึ้น ประกอบด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพส่วนหัว แท็ก HTML (ชื่อ เมตา และส่วนหัว) และรูปภาพ

6.Off-Page SEO: กลยุทธ์ภายนอกเว็บไซต์ของคุณเองที่อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและอำนาจของเว็บไซต์ของคุณ เช่น การสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง การตลาดบนโซเชียลมีเดีย และการเข้าถึงผู้มีอิทธิพล

7.การออกแบบที่ตอบสนอง: การตรวจสอบให้แน่ใจว่าไซต์ของคุณสามารถเข้าถึงได้และมอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีในทุกอุปกรณ์ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือถือเป็นสิ่งสำคัญ

8.ความเร็วเว็บไซต์และการเพิ่มประสิทธิภาพ: ความเร็วเว็บไซต์เป็นปัจจัยในการจัดอันดับสำหรับเครื่องมือค้นหาส่วนใหญ่ รวมถึง Google ด้วย เทคนิคต่างๆ ได้แก่ การปรับรูปภาพให้เหมาะสม การใช้ประโยชน์จากแคชของเบราว์เซอร์ และการลดขนาด JavaScript และ CSS

9.มาร์กอัปข้อมูลที่มีโครงสร้าง: การใช้มาร์กอัปสคีมาเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาแก่เครื่องมือค้นหาสามารถปรับปรุงผลการค้นหาของคุณด้วยตัวอย่างข้อมูลที่หลากหลาย ซึ่งสามารถปรับปรุงอัตราการคลิกผ่านได้

10.SEO ท้องถิ่น: สำหรับธุรกิจที่กำหนดเป้าหมายลูกค้าในท้องถิ่น การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับคำค้นหาในท้องถิ่นถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งรวมถึงการอ้างสิทธิ์รายชื่อ Google My Business ของคุณ การจัดการบทวิจารณ์ในท้องถิ่น และการอ้างอิงในท้องถิ่น

11.การตรวจสอบและการวิเคราะห์: การตรวจสอบประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณเป็นประจำโดยใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics และ Google Search Console สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิผลของกลยุทธ์ SEO ของคุณและพื้นที่สำหรับการปรับปรุง

12.การทำความเข้าใจประสบการณ์ผู้ใช้ (UX): ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีจะทำให้มีเวลาพักนานขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการจัดอันดับ ซึ่งรวมถึงการนำทางที่ชัดเจน เวลาในการโหลดที่รวดเร็ว และเนื้อหาที่น่าสนใจ

13.การเข้าถึง: การตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้ รวมถึงผู้ที่มีความพิการ สามารถปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และความพึงพอใจ ซึ่งเป็นปัจจัยที่เครื่องมือค้นหาพิจารณา

นักพัฒนาซอฟต์แวร์ควรจำไว้ว่า SEO เป็นกระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่ เครื่องมือค้นหามักจะอัปเดตอัลกอริธึม ดังนั้นการรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้ม SEO ล่าสุดและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ การบูรณาการข้อควรพิจารณาด้าน SEO ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการพัฒนาเว็บไซต์สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น

post

10 เหตุผลที่ SEO ใช้ WordPress เพื่อสร้างเว็บไซต์

1.แพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย WordPress นำเสนออินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ซึ่งทำให้ง่ายต่อการจัดการและเผยแพร่เนื้อหา แม้ว่าผู้ใช้ที่ไม่มีประสบการณ์การเขียนโค้ดมาก่อนก็ตาม ความสะดวกในการใช้งานนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ SEO

2.คุณสมบัติ SEO ในตัว WordPress มาพร้อมกับคุณสมบัติในตัวหลายประการที่สามารถช่วยในการทำ SEO เช่น

-ล้าง URL: WordPress ช่วยให้คุณสร้างลิงก์ถาวรที่เป็นมิตรกับ SEO ซึ่งเป็น URL สำหรับแต่ละหน้าและโพสต์ของคุณ ลิงก์ถาวรเหล่านี้สามารถปรับแต่งให้รวมคำสำคัญที่เกี่ยวข้องได้ ทำให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น

-คำอธิบาย Meta: WordPress ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มคำอธิบาย meta ลงในเพจและโพสต์ของคุณได้อย่างง่ายดาย คำอธิบายเมตาเป็นการสรุปสั้นๆ ที่ปรากฏในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) และสามารถใช้เพื่อดึงดูดผู้ใช้ให้คลิกบนเว็บไซต์ของคุณได้

-แท็กชื่อ: WordPress อนุญาตให้คุณตั้งค่าแท็กชื่อสำหรับเพจและโพสต์ของคุณ แท็กชื่อจะแสดงใน SERP และควรมีความชัดเจนและกระชับ สะท้อนถึงเนื้อหาของหน้าได้อย่างถูกต้อง

3.คลังปลั๊กอินที่กว้างขวาง WordPress มีคลังปลั๊กอินมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อช่วยในเรื่อง SEO ปลั๊กอินเหล่านี้สามารถช่วยคุณในงานต่างๆ เช่น

-การวิจัยคำหลัก

-การเพิ่มประสิทธิภาพในหน้า

-การตรวจสอบ SEO ทางเทคนิค

-การสร้างลิงก์ย้อนกลับ

4.ความเหมาะกับมือถือ: เครื่องมือค้นหาจัดลำดับความสำคัญของเว็บไซต์ที่เหมาะกับมือถือในการจัดอันดับ โดยทั่วไปแล้ว ธีม WordPress จะตอบสนองได้ ซึ่งหมายความว่าธีมจะปรับให้เข้ากับขนาดหน้าจอที่แตกต่างกัน ทำให้มั่นใจได้ว่าเว็บไซต์ของคุณดูดีและทำงานได้ดีบนอุปกรณ์ทุกชนิด รวมถึงโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต

5.ความยืดหยุ่น WordPress เป็นแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นสูงซึ่งสามารถปรับแต่งให้ตรงตามความต้องการเฉพาะของเว็บไซต์ของคุณได้ สิ่งนี้ช่วยให้คุณสร้างเว็บไซต์ที่ไม่เพียงแต่เป็นมิตรกับ SEO เท่านั้น แต่ยังดึงดูดสายตาและใช้งานง่ายอีกด้วย

6.โอเพ่นซอร์ส WordPress เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส ซึ่งหมายความว่าสามารถใช้และแก้ไขได้ฟรี สิ่งนี้ช่วยให้คุณควบคุมเว็บไซต์ของคุณได้มากและช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งตามความต้องการของคุณได้

7.ชุมชนขนาดใหญ่ WordPress มีชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาขนาดใหญ่และกระตือรือร้น ซึ่งหมายความว่ามีแหล่งข้อมูลมากมายที่จะช่วยคุณเกี่ยวกับเว็บไซต์ของคุณ รวมถึงบทแนะนำ ฟอรัม และกลุ่มสนับสนุน

8.การอัปเดตเป็นประจำ WordPress ได้รับการอัปเดตเป็นประจำด้วยคุณสมบัติใหม่และแพตช์ความปลอดภัย สิ่งนี้ช่วยให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณทันสมัยและปลอดภัยอยู่เสมอ

9.เวลาโหลดเร็ว เว็บไซต์ WordPress สามารถปรับให้เหมาะสมเพื่อให้โหลดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำ SEO

10.ความสามารถในการปรับขนาด WordPress สามารถปรับขนาดได้เพื่อตอบสนองความต้องการของเว็บไซต์ของคุณ ไม่ว่าคุณจะมีบล็อกขนาดเล็กหรือร้านค้าอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ก็ตาม

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการใช้ WordPress เพียงอย่างเดียวไม่ได้รับประกันว่าคุณจะได้รับการจัดอันดับเครื่องมือค้นหาอันดับต้นๆ อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติของแพลตฟอร์มและระบบนิเวศที่กว้างขวางของปลั๊กอินและธีมสามารถทำให้ SEO ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

post

SEO เกี่ยวข้องอย่างไรกับตลาดหุ้น

มีสองวิธีหลักในการคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง SEO และตลาดหุ้น:

  1. การใช้ SEO เพื่อวิเคราะห์บริษัท:

ตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพชั้นนำ: ประสิทธิภาพ SEO ที่แข็งแกร่งสามารถเป็นตัวบ่งชี้ชั้นนำของการรับรู้ถึงแบรนด์ของบริษัท ส่วนแบ่งการตลาด และการเติบโตในอนาคต เมื่อดูอันดับของบริษัทสำหรับคำหลักที่เกี่ยวข้อง คุณจะได้ทราบว่าพวกเขาเข้าถึงผู้ชมเป้าหมายได้ดีเพียงใด และมองเห็นพวกเขาทางออนไลน์ได้ดีเพียงใด นี่อาจเป็นข้อมูลที่มีค่าสำหรับนักลงทุนที่กำลังพยายามระบุบริษัทที่มีแนวโน้มดี
การวิเคราะห์การแข่งขัน: การตรวจสอบประสิทธิภาพ SEO ของคู่แข่งสามารถช่วยให้คุณเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขา และระบุโอกาสในการสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ของคุณเอง สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับบริษัทขนาดเล็กที่พยายามแข่งขันกับผู้เล่นรายใหญ่และมีชื่อเสียงมากกว่า
การระบุแนวโน้มที่เกิดขึ้น: ด้วยการติดตามการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มการค้นหา คุณสามารถระบุตลาดหรืออุตสาหกรรมใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุนในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป

  1. การใช้ SEO เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพตลาดหุ้นของคุณเอง:

นักลงทุนสัมพันธ์: หากคุณเป็นบริษัทที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ การมีตัวตนทางออนไลน์ที่แข็งแกร่งสามารถช่วยให้คุณดึงดูดและมีส่วนร่วมกับนักลงทุนที่มีศักยภาพได้ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์และเนื้อหาของคุณสำหรับคำสำคัญที่เกี่ยวข้อง คุณสามารถมั่นใจได้ว่านักลงทุนสามารถค้นหาข้อมูลที่พวกเขาต้องการเกี่ยวกับบริษัทของคุณได้อย่างง่ายดาย
การสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ: เว็บไซต์ที่ได้รับการปรับปรุงอย่างดีและการจัดอันดับเครื่องมือค้นหาที่แข็งแกร่งสามารถช่วยสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือกับนักลงทุนที่มีศักยภาพ สิ่งนี้อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบริษัทขนาดเล็กหรือบริษัทที่มีประวัติที่จำกัด
เข้าถึงผู้ชมได้กว้างขึ้น: ด้วยการปรับปรุง SEO คุณสามารถเข้าถึงผู้ชมที่มีศักยภาพของนักลงทุนได้กว้างขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและอาจเพิ่มราคาหุ้นของคุณได้
สิ่งสำคัญที่ต้องจำ:

แม้ว่า SEO สามารถเป็นเครื่องมืออันทรงคุณค่าสำหรับการวิเคราะห์และปรับปรุงตลาดหุ้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์ มีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ส่งผลต่อราคาหุ้นของบริษัท และ SEO ควรถูกมองว่าเป็นเพียงปริศนาชิ้นเดียว
การวิจัยของคุณเองและความรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนถือเป็นสิ่งสำคัญ
ต่อไปนี้เป็นแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมบางส่วนที่คุณอาจพบว่ามีประโยชน์:

การตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่าง SEO และราคาหุ้น

https://support.fundersclub.com/hc/en-us/articles/205158137-How-much-does-FundersClub-usually-invest-in-a-startup

คุณจะใช้ความรู้ SEO เพื่อเอาชนะตลาดหุ้นได้อย่างไร

https://www.lykke.com/blog/how-can-you-apply-your-seo-knowledge-to-beat-the-stock-market

ราคาหุ้นไม่ตอบสนองต่อประกาศ SEO หรือไม่? หลักฐานจากการประเมิน SEO

https://lsvasset.com/pdf/SAI/LSV2021SAI-old.pdf

post

ข้อดีและข้อเสียของ Seo

ข้อดีของ SEO

1. ทัศนวิสัยและการเข้าชมที่เพิ่มขึ้น : SEO ช่วยปรับปรุงการมองเห็นเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา ซึ่งนำไปสู่การเข้าชมทั่วไปที่สูงขึ้น เนื่องจากผู้ใช้มีแนวโน้มที่จะคลิกผลลัพธ์ที่อยู่ในอันดับสูงสุด

2. การตลาดที่คุ้มค่า : เมื่อเปรียบเทียบกับการโฆษณาแบบเสียเงิน SEO นั้นคุ้มค่าในระยะยาว เมื่อหน้าเว็บได้รับการปรับให้เหมาะสมและติดอันดับที่ดีแล้ว ก็สามารถดึงดูดการเข้าชมแบบออร์แกนิกต่อไปได้โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาอย่างต่อเนื่อง

3. ความน่าเชื่อถือและความน่าเชื่อถือ : เว็บไซต์ที่ปรากฏที่ด้านบนของผลการค้นหามักถูกมองว่าน่าเชื่อถือและน่าเชื่อถือจากผู้ใช้ SEO ช่วยสร้างชื่อเสียงในโลกออนไลน์ในเชิงบวก

4. ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น : SEO เกี่ยวข้องกับการปรับด้านเทคนิคและเนื้อหาของเว็บไซต์ให้เหมาะสม ซึ่งนำไปสู่ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราตีกลับลดลงและเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้

5. การเข้าชมเป้าหมาย : SEO ช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดเป้าหมายคำหลักเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าปริมาณการเข้าชมที่พวกเขาดึงดูดมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนมาเป็นลูกค้ามากขึ้น

6. กลยุทธ์ระยะยาว : ประโยชน์ของ SEO ต่างจากกลยุทธ์การตลาดระยะสั้นตรงที่สะสมและอาจมีผลกระทบที่ยั่งยืน ด้วยความพยายามอย่างต่อเนื่อง เว็บไซต์สามารถรักษาหรือปรับปรุงอันดับการค้นหาได้ตลอดเวลา

7. ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า : เครื่องมือวิเคราะห์เว็บที่ใช้ร่วมกับ SEO ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจการตั้งค่าของผู้ใช้และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมตามนั้น

8. การเข้าถึงทั่วโลก : SEO ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงผู้ชมทั่วโลก ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพที่เหมาะสม เว็บไซต์สามารถดึงดูดผู้เข้าชมจากภูมิภาคและประเทศต่างๆ

ข้อเสียของ SEO

1. ใช้เวลานาน : SEO เป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป และต้องใช้เวลาจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่สำคัญ ต้องใช้ความอดทน โดยเฉพาะเว็บไซต์ใหม่หรือเว็บไซต์ที่มีการแข่งขันสูง

2. การเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมที่คาดเดาไม่ได้ : เครื่องมือค้นหาจะอัปเดตอัลกอริธึมบ่อยครั้ง และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจส่งผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ การปรับตัวให้เข้ากับการอัปเดตอัลกอริทึมอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายและอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ SEO

3. การแข่งขันที่รุนแรง : ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง การบรรลุและรักษาอันดับสูงสุดอาจเป็นเรื่องยาก คู่แข่งยังลงทุนใน SEO ทำให้การก้าวนำหน้าเป็นความท้าทายอย่างต่อเนื่อง

4. การพึ่งพาเครื่องมือค้นหา : การใช้ SEO เพียงอย่างเดียวเพื่อการเข้าชมทำให้เว็บไซต์เสี่ยงต่อความผันผวนในการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหา แนะนำให้กระจายแหล่งที่มาของการเข้าชมเพื่อลดความเสี่ยงนี้

5. การลงทุนระยะแรก : แม้ว่า SEO ระยะยาวจะคุ้มค่า แต่ก็อาจมีการลงทุนเริ่มแรกในการจ้างผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือ และทรัพยากรเพื่อใช้กลยุทธ์ SEO ที่มีประสิทธิภาพ

6. ไม่รับประกันผลลัพธ์ : ไม่รับประกันความสำเร็จของ SEO แม้จะมีการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างพิถีพิถัน แต่ก็ไม่รับประกันว่าจะขึ้นสู่อันดับสูงสุด และปัจจัยภายนอกอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์

7. ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคที่ต้องการ : SEO ที่มีประสิทธิภาพมักต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคและการอัปเดตอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนแปลงในอัลกอริธึมของเครื่องมือค้นหา

8. ความเสี่ยงหมวกดำ : บุคคลหรือบริษัทบางแห่งอาจหันไปใช้กลยุทธ์ SEO ที่ผิดจรรยาบรรณหรือ “หมวกดำ” เพื่อบิดเบือนอันดับการค้นหา การมีส่วนร่วมในแนวปฏิบัติดังกล่าวอาจนำไปสู่บทลงโทษและสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของเว็บไซต์ในระยะยาว

post

SEO กับ Google Ads (Search) แตกต่างกันอย่างไร ควรเลือกทำโฆษณาแบบไหน


SEO และ Google Ads (Search) เป็นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรากฏอยู่ในผลการค้นหาของ Google ได้ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกลยุทธ์มีความแตกต่างกัน ดังนี้

SEO

  • หลักการ: SEO อาศัยการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณภาพและตรงตามเกณฑ์ของเครื่องมือค้นหา เพื่อให้เว็บไซต์สามารถปรากฏอยู่ในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาตามคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง
  • ค่าใช้จ่าย: ฟรี ยกเว้นค่าบำรุงรักษาเว็บไซต์
  • ระยะเวลา: ใช้เวลานานกว่า Google Ads ในการเห็นผล
  • ความยืดหยุ่น: สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับเป้าหมายทางธุรกิจได้หลากหลาย
  • ข้อดี: ได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ประหยัดค่าใช้จ่าย
  • ข้อเสีย: ต้องใช้เวลาและความพยายามในการดำเนินการ

Google Ads (Search)

  • หลักการ: Google Ads เป็นรูปแบบการโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (Pay-per-click) ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรากฏอยู่ในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาได้ทันที โดยต้องชำระเงินทุกครั้งที่มีการคลิกโฆษณา
  • ค่าใช้จ่าย: ขึ้นอยู่กับจำนวนคลิกและราคาต่อคลิก
  • ระยะเวลา: สามารถเห็นผลได้ทันที
  • ความยืดหยุ่น: สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับเป้าหมายทางธุรกิจได้หลากหลาย
  • ข้อดี: ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงตามความต้องการ
  • ข้อเสีย: เสียค่าใช้จ่ายทุกครั้งที่มีการคลิกโฆษณา

การเลือกทำโฆษณาแบบไหนดี

การเลือกทำโฆษณาแบบไหนดีนั้น ขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางธุรกิจและงบประมาณของธุรกิจ ดังนี้

  • หากต้องการผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ควรเลือกทำ SEO
  • หากต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงตามความต้องการ ควรเลือกทำ Google Ads

นอกจากนี้ ธุรกิจยังสามารถทำ SEO และ Google Ads ควบคู่กันไปได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการทำ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์สามารถปรากฏอยู่ในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาได้ในระยะยาว และการทำ Google Ads จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและตรงตามความต้องการ

post

ความเป็นมาของ seo

ต้นกำเนิดของ SEO นั้นยังไม่ชัดเจนนัก แต่เชื่อกันว่าเริ่มต้นขึ้นในยุคแรก ๆ ของอินเทอร์เน็ต เมื่อมีการสร้างเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าของเว็บไซต์จึงต้องหาวิธีทำให้เว็บไซต์ของตนปรากฏแก่ผู้เยี่ยมชม

หนึ่งในวิธีแรกสุดของ SEO คือการใช้คำหลักในทางที่ผิด สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการทำซ้ำคำหลักทั่วทั้งเนื้อหาของเว็บไซต์เพื่อพยายามเล่นเกมอัลกอริธึมของเครื่องมือค้นหา อย่างไรก็ตาม เสิร์ชเอ็นจิ้นยึดแนวทางนี้อย่างรวดเร็วและเริ่มลงโทษเว็บไซต์ที่ใช้การใช้คำหลักในทางที่ผิด

ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 มีแนวทางการทำ SEO ที่ซับซ้อนมากขึ้น แนวทางนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่เกี่ยวข้องกับคำหลักเป้าหมาย เนื้อหานี้ได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับเครื่องมือค้นหาโดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การวิจัยคำหลัก การเพิ่มประสิทธิภาพแท็กชื่อ และการเพิ่มประสิทธิภาพคำอธิบายเมตา

ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 Google ได้เปิดตัวอัลกอริธึม PageRank ซึ่งปฏิวัติ SEO PageRank เป็นวิธีการวัดความสำคัญของเว็บไซต์โดยพิจารณาจากจำนวนและคุณภาพของลิงก์ที่ชี้ไป สิ่งนี้นำไปสู่การมุ่งเน้นไปที่การสร้างลิงก์ซึ่งเป็นวิธีปรับปรุงอันดับของเว็บไซต์ใน SERP

ปัจจุบัน SEO เป็นสาขาที่ซับซ้อนและมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา มีปัจจัยหลายประการที่อาจส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ใน SERP และสิ่งสำคัญคือต้องติดตามแนวโน้มล่าสุดอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม หลักการพื้นฐานของ SEO ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือ สร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดเป้าหมายของคุณ และเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณสำหรับเครื่องมือค้นหา

นี่คือเหตุการณ์สำคัญบางส่วนที่ช่วยกำหนดประวัติศาสตร์ของ SEO

1997: คำว่า “การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา” ถูกใช้ครั้งแรกในเอกสารทางการตลาดโดย Webstep Marketing Agency

1998: Danny Sullivan ผู้ก่อตั้ง Search Engine Watch เริ่มเผยแพร่คำว่า SEO และช่วยให้ลูกค้าเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาของตนเพื่อให้มีอันดับที่ดีในผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา

2001: Google เปิดตัวอัลกอริธึม PageRank ซึ่งปฏิวัติ SEO

2004: การประชุม SEO ครั้งแรกจัดขึ้นที่ซานฟรานซิสโก

2005: เปิดตัวบล็อก SEO แรก

2006: Google เปิดตัวอัลกอริทึม Penguin ซึ่งลงโทษเว็บไซต์ที่ใช้เทคนิค SEO หมวกดำ

2007: Google เปิดตัวอัลกอริทึม Panda ซึ่งลงโทษเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคุณภาพต่ำ

2011: Google เปิดตัวอัลกอริธึม Hummingbird ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจความหมายของข้อความค้นหา

2015: Google เปิดตัวอัลกอริทึม RankBrain ซึ่งใช้การเรียนรู้ของเครื่องเพื่อจัดอันดับเว็บไซต์

2018: Google เปิดตัวอัลกอริทึม BERT ซึ่งปรับปรุงความเข้าใจในการสืบค้นด้วยภาษาธรรมชาติ

ประวัติความเป็นมาของ SEO นั้นยาวนานและซับซ้อน แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่า SEO ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของการตลาดออนไลน์ ด้วยการทำความเข้าใจประวัติความเป็นมาของ SEO คุณจะเข้าใจสถานะปัจจุบันของสาขานี้ได้ดีขึ้นและวิธีใช้ SEO เพื่อปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ของคุณใน SERP

post

เทคนิคที่ทำให้ seo ของคุณติดอันดับ

มีเทคนิคมากมายที่สามารถใช้เพื่อปรับปรุงอันดับ SEO ของเว็บไซต์ของคุณ เทคนิคที่สำคัญที่สุดบางประการ ได้แก่ :

1.สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง นี่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการทำ SEO เนื้อหาของคุณควรให้ข้อมูล เขียนได้ดี และเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ

2.เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณสำหรับคำหลัก เมื่อผู้คนค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ คุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหา คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์สำหรับคำหลักได้โดยใช้คำหลักในเนื้อหา ชื่อเรื่อง และคำอธิบายเมตาของคุณ

3.รับลิงก์ย้อนกลับ ลิงก์ย้อนกลับคือลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ เป็นสัญญาณสำคัญสำหรับเครื่องมือค้นหาว่าเว็บไซต์ของคุณเชื่อถือได้และเชื่อถือได้ คุณสามารถรับลิงก์ย้อนกลับได้จากการเขียนบล็อกของผู้เยี่ยมชม การเข้าร่วมในฟอรัม และส่งเว็บไซต์ของคุณไปยังไดเร็กทอรี

4.ปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์ของคุณ เครื่องมือค้นหาชอบเว็บไซต์ที่โหลดเร็ว คุณสามารถปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์ได้โดยการเพิ่มประสิทธิภาพรูปภาพ ย่อโค้ดให้เล็กลง และใช้เครือข่ายการส่งเนื้อหา (CDN)

5.ทำให้เว็บไซต์ของคุณเหมาะกับมือถือ ผู้คนจำนวนมากขึ้นใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเพื่อค้นหาเว็บ คุณต้องแน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรกับมือถือ เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่ายจากอุปกรณ์มือถือของตน

นอกจากเทคนิคเหล่านี้แล้ว ยังมีสิ่งอื่นๆ อีกมากมายที่คุณสามารถทำได้เพื่อปรับปรุงอันดับ SEO ของเว็บไซต์ของคุณ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ หากคุณทำเช่นนั้น คุณก็จะประสบความสำเร็จในการปรับปรุงอันดับ SEO ของเว็บไซต์ของคุณ

เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับการปรับปรุงอันดับ SEO ของคุณ

-ใช้คำหลักหางยาว คำหลักหางยาวมีความเฉพาะเจาะจงมากกว่าคำหลักหางสั้น และมีการแข่งขันน้อยกว่า ซึ่งหมายความว่าง่ายต่อการจัดอันดับสำหรับคำหลักหางยาว

-อัปเดตเนื้อหาของคุณเป็นประจำ Google ให้รางวัลแก่เว็บไซต์ที่อัปเดตเนื้อหาเป็นประจำ นี่แสดงว่าเว็บไซต์ของคุณมีการใช้งานและเป็นปัจจุบัน

-ใช้โซเชียลมีเดีย โซเชียลมีเดียสามารถเป็นวิธีที่ดีในการโปรโมตเว็บไซต์ของคุณและกระตุ้นการเข้าชม อย่าลืมแบ่งปันเนื้อหาของคุณบนโซเชียลมีเดียและกระตุ้นให้ผู้ติดตามของคุณแบ่งปันเช่นกัน

-ติดตามความคืบหน้าของคุณ สิ่งสำคัญคือต้องติดตามความคืบหน้าของคุณ เพื่อที่คุณจะได้เห็นว่าสิ่งใดใช้การได้และสิ่งใดไม่ได้ผล มีเครื่องมือ SEO มากมายที่สามารถช่วยคุณติดตามความคืบหน้าได้

SEO เป็นฟิลด์ที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ด้วยการปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้ คุณสามารถปรับปรุงอันดับ SEO ของเว็บไซต์ของคุณและเข้าถึงผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าได้มากขึ้น

post

พลาดไม่ได้กับ SEO tools มาแรงสำหรับการตลาดปี 2023

อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า SEO นั้น เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการค้นเจอ และลำดับที่ในเสิร์ชเอนจิ้นให้กับเว็บไซต์ของคุณ ผ่านการค้นหาและวิเคราะห์เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม โดยเชื่อมโยงเข้ากับลิงค์ที่จะเปิดไปสู่เว็บไซต์ของคุณ ดังนั้นฟังก์ชันของ SEO ส่วนที่สำคัญที่สุด ก็คือ ความสามารถในการสร้างคีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงมากที่สุด ซึ่งจะนำไปสู่การดึงดูดการเข้าชมมากขึ้นของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย แต่หากว่าคุณคือหน้าใหม่ และคุณเพิ่งจะเริ่มเรียนรู้การใช้งาน SEO คุณก็อาจจะรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องยาก แต่โชคดีที่ตอนนี้เรามี SEO tools มากมายที่จะช่วยให้คุณสามารถทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณเองได้ไม่ยากจนเกินไปนัก

พลาดไม่ได้กับ SEO tools มาแรงสำหรับการตลาดปี 2023

ทำไม SEO tools จึงช่วยคุณได้ SEO tools จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายเมื่อคุณเริ่มต้นทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณ เนื่องจาก SEO tools จะสามารถทำงานในส่วนของการวิเคราะห์ค้นหาคีย์เวิร์ด และช่วยตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณ พร้อมกับตรวจสอบลิ้งค์ในการเชื่อมโยง ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นจึงเป็นการบูรณาการสามงานเข้าด้วยกัน คุณจึงประหยัดเวลาได้มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า มาลองดูกันว่า SEO tools ที่มาแรงสำหรับปี 2023 ที่คุณสามารถนำไปใช้ได้นั้น มีอะไรบ้าง

1. Google Search Console

 เป็น SEO tools ที่เปิดบริการให้ใช้ฟรี เพื่อช่วยตรวจสอบและเช็คประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ดหลักพร้อมทั้งรายงานสถานะของเว็บไซต์ของคุณ เพื่อที่คุณจะได้ทราบสถานการณ์รวมทั้งสามารถประเมินแนวทางการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้คุณยังสามารถได้รับคำแนะนำจากทีมวิจัยของ google เพื่อรับทราบข้อมูลการเข้าชมและความถี่ใน google search สำหรับคีย์เวิร์ดที่คุณเลือกใช้เพื่อโยงเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งข้อมูลที่สำคัญเหล่านี้เองจะทำให้คุณสามารถปรับปรุงการค้นเจอของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง

2. Ahrefs

เป็น SEO tools ที่เน้นให้คุณทราบได้ว่าส่วนใดของเว็บไซต์ของคุณ ที่ได้รับการเข้าชมมากที่สุด คุณจึงสามารถจัดการออกแบบเว็บไซต์ หรือจัดทำดัชนีภาพรวมของหน้าเว็บไซต์ของคุณเอง ให้สอดคล้องกับวิสัยในการเข้าชมเนื้อหาของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ค่อนข้างตรงมากขึ้น เพราะคุณทราบว่าข้อมูลใดจะดึงดูดผู้ชมได้มากที่สุด

SEO tools จะช่วยให้คุณรวบรวมข้อมูลการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณ รวมถึงภาพรวมของการเข้าถึงเว็บไซต์ และนี่ไม่ใช่เป็นเพียงในแง่ของการเข้ารับชมเว็บไซต์เท่านั้นแต่ SEO ยังสามารถช่วยให้คุณเห็นข้อผิดพลาดต่าง ๆ อีกด้วย และนั่นก็หมายถึงคุณสามารถรับรู้ปัญหาในการเข้าถึงเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งถือเป็นข้อมูลในเชิงลึก ที่จะช่วยให้คุณปรับปรุงการเข้าถึงเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญยังสามารถเปรียบเทียบอันดับเว็บไซต์ของคุณ กับค่าเฉลี่ยของเว็บไซต์อื่นซึ่ง SEO สามารถแจกแจงให้คุณเห็นได้ คุณจึงสามารถรู้ตัวได้ว่า คุณเองนั้นยืนอยู่ตรงไหน ในระหว่างคู่แข่งทั้งหมด และเหล่านี้ก็คือความยอดเยี่ยมของ SEO tools ที่รอให้คุณทดลองใช้ได้แล้ววันนี้ก่อนใคร

post

SEO ยังเป็นที่นิยมในปัจจุบันหรือไม่ นับแต่กระแส Video Marketing มาแรง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าชาวโซเซียลมีเดีย นิยมเสพคอนเทนต์วิดีโอมากกว่าโพสต์ข้อความยาว ๆ เนื่องจากเข้าใจง่าย ใช้เวลาไม่นานก็เลื่อนไปดูวิดีโออื่น ๆ ทำให้แพลตฟอร์ม TikTok กระแสมาแรงแซง social media รุ่นพี่อย่าง Facebook, Youtube เลยไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมโซเซียลมีเดียที่อยู่มาก่อนหน้า หันมาใช้กลยุทธ์ให้ผู้ใช้งานรับชมวิดีโอสั้นเหมือน Tiktok มากยิ่งขึ้น แต่ดูเหมือนว่า Digital Marketing อย่าง SEO มีบทบาทน้อยลงทุกวัน ซึ่งมาดูกันดีกว่าว่า SEO ยังน่าใช้อยู่หรือไม่ หากเริ่มต้นทำเว็บไซต์

SEO เบสิกเริ่มต้นก่อนทำการตลาดออนไลน์

Video Marketing เป็นที่นิยม และแมสได้จริง แต่การตลาดรูปแบบนี้จะได้ประโยชน์เต็มที่ เมื่ออัปโหลดลง Social Media เพราะแพลตฟอร์มมีระบบแนะนำวิดีโอสั้นมาให้แก่ผู้รับชม ทำให้วิดีโอที่สร้างขึ้นมีโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ในขณะที่การทำเว็บไซต์ AI ของ Google ไม่ได้นำวิดีโอสั้น มาใช้จัดอันดับว่า เว็บใดควรขึ้นหน้าแรกของการค้นหา เนื่องจาก Google ยังคงใช้การค้นหาจากคีย์เวิร์ด “ข้อความ” เป็นหลัก ต่อให้ใส่วิดีโอสั้นลงมาในเว็บ AI ก็ตรวจจับไม่ได้ว่าเว็บนั้นดีจริงหรือไม่ ดังนั้น SEO ยังคงมีประโยชน์อยู่สำหรับการตลาดบนหน้าเว็บไซต์ แม้ Video Marketing จะมาแรงก็ตาม

External Link กับ แพลตฟอร์ม Social Media

หลายเว็บไซต์ได้นำเทคนิค SEO ที่เรียกว่า External Link มาช่วยบูสต์คะแนนการจัดอันดับ กล่าวคือ เจ้าของเว็บไซต์เปิดเพจบนโซเซียลมีเดียด้วย ซึ่งบนหน้าเพจก็สร้างวิดีโอสั้นที่น่าสนใจ หรือจ้าง
อินฟลูเอนเซอร์มาเรียกยอดวิวบนวิดีโอ และใส่เว็บไซต์นั้นเป็น Ref บนโพสต์วิดีโอสั้น ทำให้เมื่อเว็บนั้นถูก Reference บ่อยๆ AI จะประมวลผลว่าเป็นเว็บที่มีคุณภาพ ประกอบกับหากมีผู้เข้าชมเว็บจากโพสต์วิดีโอสั้นจำนวนมาก ย่อมเกิดยอด Traffic ตามมา ทำให้เว็บไซต์นั้นติดหน้าแรกของ Google ได้ง่ายขึ้น 

Internal Link ช่วยเพิ่ม Traffic ได้

เทคนิคนี้จะใช้ได้ดีกับผู้ที่มี 2 เว็บไซต์ขึ้นไป นั่นคือ เว็บไซต์หนึ่งสร้างไว้เพื่อขายของอย่างเดียว ในขณะที่อีกเว็บมีไว้สำหรับทำการตลาดให้เว็บแรกติดอันดับ ซึ่งเว็บไซต์ที่ 2 จะมีเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์แรก ด้วยการใส่เว็บไซต์แรกที่ต้องการบูสต์ยอด Traffic เป็น Reference (External Link) และใส่ Internal Link เพื่อจูงใจให้ผู้อ่านกดคลิกเข้าไปซื้อสินค้าในเว็บแรก ด้วยประโยคที่ผู้อ่านล้วนเคยผ่านตามาบ้างแล้ว (CTA) เช่น “อ่านต่อคลิกได้ที่นี่” “รายละเอียดเพิ่มเติมมีดังนี้” + (Internal Link) เป็นต้น และการนำทั้ง External link + Internal Link มาใส่เข้าด้วยกัน ย่อมเพิ่มน้ำหนักให้แก่เว็บไซต์ที่ต้องการบูสต์ยอด Traffic เป็นอย่างดี 

แม้ SEO จะเป็นเทคนิคที่ใช้ระยะเวลาในการทำพอสมควร จนกว่าหน้าเว็บของคุณจะติดอันดับของ Google และมีเทคนิคการตลาดสมัยใหม่อย่าง Video Marketing เข้ามา จนดูเหมือนว่าบทบาทของ SEO ลดลงไป แต่หากนำเทคนิค SEO และ Video Marketing ประยุกต์ใช้เข้าด้วยกันแล้ว หน้าเว็บของคุณจะได้ผลดีทั้งโซเซียลมีเดีย และการค้นหาบน Google 

post

รวม 4 วิธีการทำ SEO แบบเน้น ๆ สำหรับการต่อยอดธุรกิจ

หลาย ๆ ธุรกิจมีการเติบโตและมีความมั่นคงมากขึ้นจากการทำการตลาดออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ ใครที่อยากจะพัฒนาหรือต่อยอดธุรกิจให้ไปไกลขึ้น ต้องไม่ลืมจุดสำคัญของช่องทางออนไลน์อย่างเว็บไซต์ ซึ่งสามารถที่จะยกระดับและพัฒนาเว็บไซต์ผ่านการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์เป็นเว็บไซต์อันดับต้น ๆ สำหรับหน้าการค้นหาจาก search engine 

  1. ปรับปรุงคอนเท้นต์ภายในเว็บไซต์ให้มีความสดใหม่และมีความน่าสนใจ โดยเนื้อหาภายในนั้นควรที่เป็นเนื้อหาที่เขียนขึ้นมาเอง มีการแก้ไข เรียบเรียงใหม่ให้สามารถเข้าใจได้ง่าย ตอบโจทย์ผู้และเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านอย่างแท้จริง เนื้อหาและคีย์เวิร์ดก็ต้องมีความสัมพันธ์กัน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีความสอดคล้อง สามารถตอบคำถามผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้ ยิ่งถ้าหากว่าภายในเว็บไซต์มีการเข้าชมและผู้ชมให้ความสนใจกับเนื้อหามีการใช้ระยะเวลาในการชมเว็บไซต์ที่นานก็จะทำให้มีโอกาสในการเลื่อนลำดับของเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น
  1. ปรับปรุงเรื่องการดาวน์โหลดเว็บไซต์ให้มีความรวดเร็วขึ้น รวมถึงการทดสอบความเร็วของการดาวน์โหลดเว็บไซต์ด้วยที่ควรต้องทดสอบเป็นประจำ ผู้ชมหลายคนเลือกกดเข้ามาในเว็บไซต์จากหน้าการค้นหาแต่ถ้าหากว่ามีการดาวน์โหลดเว็บไซต์ที่ช้า ทำให้มีช่วงระยะเวลาการรอคอย ก็จะลดโอกาสในการเข้ามารับชมเว็บไซต์และทำให้ผู้ชมอาจเลื่อนผ่าน กดออกไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ 
  1. สร้างการเชื่อมโยงเว็บไซต์ของตนเองจากเว็บไซต์ภายนอกอื่น ๆ หรือการทำ Link Building Exercise ยิ่งถ้าหากมาจากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและมาจากหลากหลายเว็บไซต์ ก็จะทำให้เว็บไซต์ดูมีความน่าเชื่อถือและมีเครดิตมากยิ่งขึ้น ช่วยส่งเสริมให้การเลื่อนอันดับของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
  1. สิ่งสำคัญที่หลายคนอาจหลงลืมไปในระหว่างที่ได้ทำ SEO แล้ว เมื่อผ่านระยะเวลาไปช่วงหนึ่งก็ควรที่จะมีการตรวจสอบหรือ audit SEO ด้วยเช่นกัน เป็นเสมือนการกระตุ้นเตือนให้เจ้าของเว็บไซต์หรือธุรกิจไม่ได้นิ่งนอนใจ หรือวางใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่โดยที่ไม่ได้มีการพัฒนาเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง โดยจริง ๆ แล้วการทำ SEO นั้นควรที่จะมีการทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างที่จะสังเกตเห็นได้จากเว็บไซต์หลาย ๆ เว็บไซต์มีการผลัดกันขึ้นลงสำหรับอันดับในหน้าการค้นหา เพราะต่างก็มีการทำ SEO และพัฒนาเว็บไซต์อยู่เสมอ ๆ ฉะนั้นถ้าหากเราหยุดก็เท่ากับว่าอาจจะมีคนอื่นแซงหน้าเราไปได้ด้วยเช่นกัน

วิธีการทำ SEO ที่ได้นำมาเสนอข้างต้นเพื่อสามารถนำไปทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ ตลอดทั้งกระบวนการ ถ้ามีการนำไปพัฒนาและศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญด้านการทำเว็บไซต์และทีมงานมืออาชีพด้านการพัฒนาเนื้อหาและโครงสร้างเว็บไซต์ก็จะสามารถทำให้เว็บไซต์ต่อยอดไปได้ไกลมากขึ้น